Finance

แอสเซทพลัสเปิดกองทุน ASP-INDIA มองหุ้นอินเดียมีโอกาสเติบโตสูง

แอสเซท พลัส ส่งกองทุนเปิด แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ (ASP-INDIA) คว้าโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นอินเดีย เชื่อพลังประชากรหนุนภาคบริโภคดันเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง เสนอขายครั้งแรกวันนี้ – 2 พฤศจิกายน 2561 ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท

นายรัชต์ โสดสถิตย์
นายรัชต์ โสดสถิตย์

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) เปิดเผยว่า อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการมีประชากรจำนวนมาก ก่อให้เกิดการขยายตัวของภาคบริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสเติบโต และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุน

บลจ. แอสเซท พลัส จะเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ (ASP-INDIA) เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นอินเดีย

กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุน Feeder Fund ตราสารทุน ระดับความเสี่ยง 6 มีนโยบายเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ คือ กองทุน UTI India Dynamic Equity Fund (กองทุนหลัก) โดยผู้จัดการกองทุนเป็นคนในอินเดีย มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุนมาถึง 18 ปี และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบทั้งหมด ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ

ทั้งนี้ กองทุน ASP-INDIA มีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท กำหนดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันนี้ – 2 พฤศจิกายน 2561 ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ซึ่งหลังจากมีการทำ IPO แล้ว จะมีการซื้อขายของกองทุน ตั้งแต่เวลาเปิดจนถึง 15.00 น.

“เรามองว่า เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขับเคลื่อนโดยพลังประชากร รวมถึงภาคบริการและอุตสาหกรรม โดยเห็นได้จากการอันดับจีดีพีโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจอินเดียแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าในปี 2573  จีดีพีของอินเดียจะขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ของโลก” นายรัชต์ กล่าว

เขาบอกด้วยว่า อินเดียมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต 3 ปัจจัย ได้แก่

1.การขยายตัวของทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ ในปัจจุบันประเทศอินเดียมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และคาดว่าจะเป็นอันดับ 1 ในปี 2024 รวมถึงในปี 2020 ประชากรอินเดียจะมีอายุเฉลี่ยต่ำที่สุดในโลก ซึ่งกว่า 63% จากประชากรทั้งหมดเป็นประชากรวัยทำงาน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน

นอกจากนี้ อินเดียยังมีพัฒนาการด้านการศึกษาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนประชากรอินเดียที่มีทักษะในการอ่านและเขียนเพิ่มมากขึ้น  ส่งผลให้มีสัดส่วนแรงงานที่มีทักษะฝีมือเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงระดับความยากจนที่ลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา

2.การที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น นำขึ้นไปสู่การจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยในทศวรรษที่ผ่านมาประชากรอินเดียมีรายได้ที่สูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 6.90% ส่งผลให้มีกำลังซื้อที่สูงขึ้น และมีการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นตามไปด้วย หนุนให้ภาคบริโภคมีการขยายตัว โดยในปัจจุบันการบริโภคส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 เช่น อาหาร ที่อยู่ อาศัย การเดินทาง

3.มีการสนับสนุนจากภาครัฐบาลที่เป็นรูปธรรม อาทิ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการดูแลประชากรให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรอินเดีย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบภาษี ส่งผลให้สินค้าบางประเภทราคาต่ำลง ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์

อีกทั้งยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศหันมาลงทุนในอินเดียตามนโยบาย Made in India โดยได้มีการปรับลดข้อกำหนดเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ลงมา เพื่อให้การลงทุนในอินเดียง่ายขึ้น เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเทคโนโลยีสารสนเทศโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลอินเดีย

จะเห็นได้ว่าปัจจัยข้างต้น ส่งผลดีต่อทิศทางในการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการโอกาสเติบโตของกลุ่มธุรกิจ และการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชากร ที่เป็นกำลังสำคัญช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประกอบกับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ที่แสดงถึงอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในอินเดีย ซึ่งอยู่ในระดับสูงประมาณ 20% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงที่สุดในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดยังคงมีความผันผวนจากการเก็งกำไรระยะสั้นของผู้ลงทุนรายย่อย จึงเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนของตลาดหุ้นในต่างประเทศได้สูง และพร้อมสำหรับการลงทุนในระยะยาว เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียในอนาคต โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในกองทุน ASP-INDIA ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกเพียง 5,000 บาท

Avatar photo