Finance

คาดเฟดคงดอกเบี้ยกรอบเดิม! จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจ-โควิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเฟดคงดอกเบี้ยที่กรอบ 0.00-0.25% ตามเดิม ในการประชุม 26-27 มกราคมนี้ เชื่อส่งสัญญาณติดตามความเสี่ยงเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ตามเดิม และน่าจะไม่มีการประกาศใช้เครื่องมือผ่อนคลายทางการเงินอื่น ๆ เพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 – 27 มกราคม 2564 นี้ โดยคาดว่า แม้เฟดจะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง แต่จะยังย้ำถึงความจำเป็นของการเร่งผลักดันมาตรการฝั่งการคลังจากรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ เพื่อให้ทั้งนโยบายการเงินการคลัง มีส่วนช่วยจำกัดความเสี่ยง และหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะข้างหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณติดตามความเสี่ยงเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 แม้จะยังไม่ผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุม FOMC วันที่ 26-27 มกราคม 2564

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีสัญญาณรุนแรงขึ้นในสหรัฐ ส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ยังมีความเสี่ยง ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังคงมีทิศทางปะปน โดยแม้ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐ เดือน มกราคม 2564 จะสะท้อนว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงขยายตัว แต่ในขณะเดียวกัน สัญญาณเครื่องชี้ในตลาดแรงงานยังคงชะลอตัว โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ล่าสุดยังอยู่ในระดับสูงใกล้ระดับ 9.0 แสนราย (สูงกว่าระดับก่อนวิกฤตโควิด-19)

ซึ่งย้ำทิศทางอ่อนแอต่อเนื่อง จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ปรับลดลงในเดือน ธันวาคม 2563 แม้ตลาดแรงงานจะมีสัญญาณอ่อนแอลงบ้าง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% พร้อมกับคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ตามเดิม (วงเงินสำหรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 8.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และสำหรับซื้อ Mortgage-backed Securities 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์)

เพื่อรอประเมินสัญญาณกระตุ้นเพิ่มเติมจากนโยบายการคลัง หลังรัฐบาลใหม่ของสหรัฐ เตรียมที่จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เป็นวงเงินสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9.0% ของจีดีพีสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการปรับสูงขึ้น ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยิลด์) ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟด จะส่งสัญญาณเข้าซื้อพันธบัตรในอายุที่ยาวมากขึ้น เพื่อจำกัดกรอบการปรับตัวขึ้นของต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเนื่อง ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีก่อนหน้าประมาณ 0.18% หรือ 18 basis points มายืนที่ระดับ 1.10% (ข้อมูล ณ 22 ม.ค. 2564)

สำหรับแนวโน้มในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เฟดจะยังคงเน้นน้ำหนักความสำคัญกับโจทย์ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภาพรวมมากกว่าประเด็นด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ตัวแปรสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดท่าทีของเฟดในระยะข้างหน้าจะอยู่ที่ 2 เรื่อง ได้แก่

1. ความสามารถในการควบคุมการระบาดและความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ทั้งนี้ ภารกิจในการฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองสหรัฐ ให้ครบเป้าหมายที่ 100 ล้านคน (หรือราว 40% ของประชากรทั้งประเทศ) ภายใน 100 วันแรกของการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากอุปสรรคในการส่งมอบวัคซีนและสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ ยังคงมีแนวโน้มรุนแรงและมีความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของสายพันธุ์ใหม่ (โดยเฉพาะจากสายพันธุ์ในอังกฤษ) เพิ่มขึ้น

2. ความรวดเร็วและความสำเร็จของรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการผลักดันมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ในสภาคองเกรส เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนทั้งฝั่งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงตั้งข้อสังเกตถึงความจำเป็นในการใช้เม็ดเงินขนานใหญ่ที่สูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญจะอยู่ที่กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งเดโมแครตและรีพับลิกันมีคะแนนเสียงเท่ากันอยู่ที่ 50:50 ซึ่งเท่ากับว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะต้องได้รับคะแนนเสียงเพิ่มเติมบางส่วนจากฝั่งรีพับลิกัน

ดังนั้นแล้ว หากสหรัฐ ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน จากความเสี่ยงของโควิด-19 และความล่าช้าของการเดินหน้ามาตรการทางการคลัง ก็อาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะยังคงส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม

สำหรับผลต่อไทยนั้น คาดว่า การส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะไม่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย เนื่องจาก กนง. น่าจะเน้นน้ำหนักการพิจารณาไปที่ปัจจัยเศรษฐกิจไทยมากกว่า

อย่างไรก็ดี ตัวแปรจากฝั่งสหรัฐ คงมีผลต่อความเคลื่อนไหวของทิศทางค่าเงินบาทและอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจมีจังหวะทยอยขยับขึ้นตามทิศทางตลาดพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากแนวโน้มปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลของไทยที่จะสูงต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อระดมทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ขณะที่แม้เงินบาทจะยังมีแนวโน้มแข็งค่า แต่กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจผันผวนมากขึ้น เพราะเงินดอลลาร์ อาจได้รับแรงหนุนในบางช่วงในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความเสี่ยงจากฝั่งสหรัฐ ทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับมาตรการเศรษฐกิจ การเมืองภายใน และสถานการณ์โควิด-19

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo