Finance

เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง ชู ‘K-GHEALTH’ จุดกระแสลงทุน ‘โกลบอล เฮลท์แคร์’

เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง จุดกระแสลงทุน ในโกลบอลเฮลท์แคร์ ผ่าน กองทุน K-GHEALTH เน้นการลงทุนระยะยาว จากนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ก้าวกระโดด ตอบโจทย์ New Normal

นางสาวศิริพร สุวรรณการ Managing Director – Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ Medical Hub ภายในปี 2568 ซึ่งการตั้งเป้านี้ หมายถึง ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านองค์ความรู้ บุคคลากรและเทคโนโลยีที่พร้อมที่จะพัฒนาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น

เคแบงก์

หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญคือการแพทย์แม่นยำ หรือ Precision Medicine ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่จะมาเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นความหวังที่คนทั่วโลกสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ และที่สำคัญนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นโอกาสดีให้กับการลงทุนในหมวดหมู่ของโกลบอลเฮลท์แคร์

ทางด้าน ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ในแวดวงบริษัทด้านการแพทย์ ถือได้ว่า เป็นหนึ่งกลุ่มบริษัท ที่มีงบประมาณด้านการวิจัย และการพัฒนา (Research and Development) มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม การอุบัติขึ้นของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญ ให้บริษัทด้านการแพทย์ ต้องใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี ให้เกิดผลลัพธ์เป็นวัคซีนป้องกันอย่างเร็วที่สุด

เช่นเดียวกัน จากเมื่อ 30 ปีก่อน ในปี 1991 มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งสนใจด้านการถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ เพราะคนยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญ และจำเป็น อีกทั้งต้องใช้เวลายาวนานถึง 13 ปีในการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ 1 คน ใช้งบประมาณสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท

เคแบงก์
ศิริพร สุวรรณการ
เคแบงก์
ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร

อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ด้านการถอดรหัสพันธุกรรมนี้ ก่อให้เกิด 2 สิ่งใหม่ คือ

1. ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรค และความเจ็บป่วยต่าง ๆ จากรหัสพันธุกรรมของมนุษย์

2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการถอดรหัสพันธุกรรม ทำได้รวดเร็วมากขึ้น และ ราคาถูกลง อย่างมหาศาล

ปัญหาใหญ่ของคนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง คือ ใช้วิธีการรักษาแบบเดียวกันหมด ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะได้ผลมาก หรือน้อยแตกต่างกันไป แต่ในปัจจุบันมีองค์ประกอบที่จะช่วยให้การรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับผู้ป่วยทุกคน นั่นก็คือ การแพทย์แม่นยำ ที่นำองค์ความรู้ด้านการถอดรหัสพันธุกรรมมาใช้ในการรักษาโรค เพื่อที่จะได้รู้ว่า ความผิดปกติเกิดขึ้นจากตรงไหน ควรใช้วิธีการรักษาอย่างไร เพื่อให้ผลการรักษาได้ผลดีที่สุด

การแพทย์แม่นยำ มองว่าสาเหตุความเจ็บป่วย ความผิดปกติของร่างกายแต่ละคนแตกต่างกัน รวมไปถึงสามารถนำมาใช้ตรวจหาความเสี่ยงเพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค เป็นต้น

“สิ่งที่คนทั่วโลกกำลังตั้งตารอ และเป็นกังวลก็คือ สำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ถือ เป็นครั้งในแรกในวงการการแพทย์ ที่ดึงเอานวัตกรรม องค์ความรู้ ทั้งหมดของโลกนี้นำมาทำงานร่วมกัน เห็นการพัฒนาที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ใช้เวลาเพียง 8 เดือนในการพัฒนาวัคซีน มีคนได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกเรียบร้อยแล้ว มีวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการทั้งหมด 140 ตัว และได้รับการอนุมัติแล้วจาก 2 บริษัท คือ Moderna และ Pfizer ซึ่งกำลังจะตามอีก 4-5 บริษัท โดยมีกำลังการผลิตในปี 2564 จาก 6 บริษัทนี้ สูงถึง 8 พันล้านโดส ครอบคลุมคนกว่า 50% ทั่วโลก สามารถหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ถ้ากระจายการเข้าถึงวัคซีนให้ดี และทำให้สามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติ”

S 50085894
นิโคลัส วิลค็อกซ์

นาย นิโคลัส วิลค็อกซ์ ผู้จัดการกองทุน จาก JP Morgan Asset Management เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ที่ผู้คนที่เกี่ยวข้องระดมสมองเพื่อให้การแพร่ระบาดจบลง ไม่ว่าจะเป็น เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ที่ไหลเข้ามาลงทุนด้านสาธารณสุข ความพยายามที่จะป้องกันการแพร่ระบาด การคิดค้นวัคซีน การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ในการดำรงชีวิตจากนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม

ด้านการแพทย์ ที่มีการนำโทรเวชกรรม (Telemedicine) หรือ การนําเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยกันได้แบบ Real-time ทางไกลเกิดขึ้น

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Mega trend) และรูปแบบธุรกิจครั้งใหญ่ (Disruption) ที่เกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขยายบริการทางการแพทย์ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ถือเป็นแรงหนุนที่สำคัญในระยะยาวต่อไป  และถึงแม้ว่าแนวโน้มของการดูแลรักษาสุขภาพจะได้รับความนิยมมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ปฏิเสธได้ยากว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น

ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเติบโตมากขึ้น ถ้ามองลึกลงไปในหมวดหมู่ของการดูแลรักษาสุขภาพ เรามองว่ามีอีกหลายหมวดหมู่ย่อยที่มีความแข็งแกร่งและราคายังไม่สูงมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็น บริษัทยาที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ บริษัทไบโอเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการ

สุดท้ายนี้ มองว่าเฮลท์แคร์ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอัตราที่ดี และยังคงมีนวัตกรรมที่จะปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ยังคงน่าสนใจและเป็นโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวต่อไปได้

shutterstock 131746163

กองทุน K-GHEALTH เน้นลงทุนในหุ้นทางการแพทย์ และการดูแลรักษาสุขภาพใน 4 กลุ่มหลัก

  • Pharma – ยา ที่สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด

เช่น บริษัท Roche ผู้ผลิตเครื่องตรวจวัดโรคจากเลือด โดยในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เครื่อง Cobus Pure สามารถตรวจได้ 1,440 ตัวอย่างภายใน 24 ชั่วโมง และ ผลตรวจ 1 เคสว่าติดหรือไม่ ใช้เวลา 3.5 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถตรวจได้เร็วขึ้น ใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น ช่วยลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง อย่าง Accu Check ปัจจุบัน ก็มีการพัฒนาให้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยประมวลผล และดูแนวโน้มของระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยประเมินได้ว่าควรจะดูแลรักษาสุขภาพอย่างไร เพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสม

บริษัท Novo Nordisk ที่มีความเชี่ยวชาญโรคเบาหวานโดยเฉพาะ กว่า 50% ของอินซูลินที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มาจากบริษัทนี้ทั้งสิ้น ปัจจุบันพัฒนาให้อินซูลินอยู่ในรูปแบบเม็ดสะดวกกับผู้ป่วยมากขึ้น เป็นต้น

  • Biotech – การรักษา ที่รักษาไปจนถึงระดับพันธุกรรม

เช่น บริษัท AMGEN ที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจ เช่น พัฒนายาที่ป้องกันการเกิดหัวใจล้มเหลว ด้วยการเข้าไปสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และ บริษัท Alexion เน้นรักษาโรคเฉพาะทาง หรือโรคหายาก เช่น โรคฟอสฟอรัสในเลือดต่ำ ซึ่งให้ผลดี

shutterstock 1463056829

  • Medical Tech – เทคโนโลยีที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่ถูกต้องตรงจุด

เช่น บริษัท Twist Bioscience เป็นผู้ผลิต DNA สังเคราะห์ ร่วมกับ Microsoft ในการจัดเก็บ DNA ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล

  • Healthcare Services – การเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขในราคาที่เหมาะสม

เช่น ระบบประกันสุขภาพของบริษัท Centene และ บริษัท United Health Group มีบริษัทในเครือข่ายมาก รวมถึงแพทย์ผู้รักษาจำนวนมากเป็นต้น

กองทุน K-GHEALTH มีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง เป็นเงิน 1.90 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง รวมเงินปันผลทั้งหมดตั้งแต่จัดตั้งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 อยู่ที่ 45.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธ.ค. 63)

“การลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนดีที่สุด คือ การลงทุนระยะยาว มีการทุ่มงบประมาณในการพัฒนาทางการแพทย์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดในด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในธุรกิจด้านการแพทย์ อย่าง JP Morgan สุดท้ายนี้ ธนาคารฯ เชื่อได้ว่าการลงทุนในโกลบอลเฮลท์แคร์เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้อย่างแน่นอน” นางสาวศิริพร กล่าวปิดท้าย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo