Finance

เปิดแชมป์หุ้นปันผลปี 60

Stock60 2 012

 

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ประกาศจ่ายเงินปันผลในงวดปี 2560 โดยมีบริษัทที่จ่ายเงินปันผลทั้งหมด 448 บริษัท จากจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยรวม 595 บริษัท

จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ภาพรวมของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นไทยปี 2560 อยู่ที่เฉลี่ย 2.70 % ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เกิน 3% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน ซึ่งจากการสำรวจพบว่า มีบริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลชนะดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์รวม 238 บริษัท

ทั้งนี้ 10 บริษัทที่จ่ายปันผลในอัตราสูงสุด ประกอบด้วย บริษัทแปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP ผลตอบแทนจากเงินปันผล 19.60% รองลงมา กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลพลาซ่า (CTARAF) หรือ กองรีท ให้ผลตอบแทนปันผล 14.24% บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ผลตอบแทนจากปันผล 12.32% บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ผลตอบแทนปันผล 10.74% กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF ผลตอบแทนจากปันผล 10.67%

บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH ผลตอบแทนเงินปันผล 10.27% บริษัท ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ จำกัด(มหาชน) หรือ CHOTI ผลตอบแทนจากปันผล 10.16% บริษัท บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM ผลตอบแทนเงินปันผล 10.07% บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ผลตอบแทนจากปันผล 9.48% และบริษัททีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือTPBI ผลตอบแทนจากปันผล 9.34%

หากพิจารณาการลงทุนในหุ้นปันผล นักลงทุนไม่ควรจะดูแค่การจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และควรพิจารณาปัจจัยอย่างอื่นประกอบกันด้วย เช่น บางบริษัท ราคาหุ้นปรับลดลงแรง เมื่อนำมาคำนวณกับเงินปันผลที่จ่าย ทำให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นได้ รวมทั้งต้องลงลึกไปดูว่า ราคาหุ้นที่ลงแรงเกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หุ้น 10 บริษัทที่ได้รวบรวมมาให้ดูข้างต้น หากพิจารณาราคาหุ้นในช่วงปี 2560 เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปีเดียวกัน จะพบว่า มี 2 บริษัทเท่านั้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราผลตอบแทนสูงเกิน 10% คือ

กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือของกลุ่มเซ็นทารา (CTARAF) ผลตอบแทนปันผล 14.24% ราคากองทุนที่ซื้อขายในปี 2560 ปรับตัวสูงขึ้น 11.96% ดังนั้นแสดงว่า ผู้ถือกองทุนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้รับจากเงินปันผลอีก 14.24%

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF ผลตอบแทนจากปันผล 10.67% ราคากองทุนปรับตัวขึ้น 2.4% ซึ่งผู้ถือกองทุนก็จะได้รับผลตอบแทน 2 ทางเช่นกัน

ขณะที่หุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงนั้น เกิดจากราคาหุ้นปรับลดลงมาแรง ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล เมื่อนำมาคำนวณปรับตัวสูงขึ้น และผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนเพียงด้านเดียวคือ ผลตอบแทนจากเงินปันผล แต่ในส่วนต่างราคาหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นแต่ละคนว่าจะขาดทุนหรือกำไร เพราะทุกคนมีต้นทุนของการลงทุนแตกต่างกัน

สำหรับ CTARAF เป็นกองรีท ซึ่งมีบลจ.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการกองทุน และมีบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ มีนโยบายการลงทุน ในสิทธ์การเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือประเภท Leasehold โครงการโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย โดยเข้าระดมทุนและจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2551

โครงสร้างการถือหุ้นของกองรีท 3 อันดับแรกสูงสุด ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา 81.09 ล้านหุ้นคิดเป็น 25.34%นายสุชาติ โชคพิพัฒน์กุล 3.73 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.17% นายสันติ ศันสนียเกียรติ 2.49 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.78%

ขณะที่อัตราส่วนเงินผลตอบแทนในปี 2560 ถือว่าสูงสุด หากย้อนหลัง 3 ปี โดยปี 2559 อยู่ที่ 6.72% ปี 2558 อยู่ที่ 8.24% และปี 2557 อยู่ที่ 4.75% นอกจากนี้ หากเทียบมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยของกองทุน หรือ NAV ปี2560 อยู่ที่ 7.29 บาทต่อหน่วย และในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 6.46 บาทต่อหน่วย แต่ราคากองทุนในตลาดหุ้น 5.13 บาท

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายปันผลและขึ้นเครื่องหมายสิทธิ์รับเงินปันผล หรือ XD โดยเฉพาะบจ.รายใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย และบล.ทิสโก้ได้ประเมินผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมายดังกล่าวในเดือนเม.ย.นี้อย่างน่าสนใจ

บล.ทิสโก้ ประเมินว่า ผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD รอบนี้ ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีหุ้นขนาดใหญ่ทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD (จ่ายปันผล) ไปบ้างแล้ว อาทิ PTT, PTTGC, CPN, DELTA, MAKRO, EGCO, TU, PSH, JAS และ ROBINS เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นอีกจำนวนมากที่จะทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD ต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือน พ.ค. นี้

จากการรวบรวมและประเมินผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD รอบนี้จะมีจำนวนบริษัทรวม 353 บริษัท (นับเฉพาะหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ไม่รวม mai และนับเฉพาะหุ้นที่จ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ไม่รวมการจ่ายปันผลเป็นหุ้น) โดยคาดว่าจะมีผลให้ SET Index ปรับตัวลงโดยปริยายรวม 25 จุด โดยวันที่จะส่งผลเชิงลบมากสุด 3 อันดับแรก คือ 6 มี.ค. จะกดดัน SET Index ลดลง 4.3 จุด, วันที่ 17 เม.ย. ลดลง 1.6 จุด และ 8 มี.ค. ลดลง1.5 จุด ซึ่งวันที่ส่งผลเชิงลบต่อ SET Index มากสุดผ่านไปแล้วในแต่จะมีผลอีกครั้งในเดือนเม.ย.นี้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรสังเกตให้ดีก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นในเดือนนี้

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight