Finance

เช็ครายชื่อหุ้นน่าลงทุน…ก่อนดัชนีฟื้นจริง!!

หุ้นที่โบรกใหญ่แนะนำซื้อเข้าพอร์ตลงทุน 01

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ของปีนี้ดูเหมือนว่า ดัชนีน่าจะกำลังพยายามสร้างฐานเพื่อที่จะปรับตัวขึ้นไป ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประเมินในทิศทางขาขึ้นมากกว่า และมีความหวังว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้บรรยากาศการลงทุนน่าจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ผู้ลงทุนควรจะเริ่มสะสมหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว

ทั้งนี้จากการสำรวจคำแนะนำการลงทุนของโบรกเกอร์รายใหญ่ โดยให้เลือกหุ้นสามารถถือลงทุนได้ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า พบว่า จะอยู่ในกลุ่มสถาบันการเงิน ค้าปลีก อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน ขณะที่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปีน่าจะสูงสุดจะอยู่เหนือ 1,800 จุด  ส่วนดัชนีต่ำสุดจะไม่ต่ำกว่า 1,500 จุด

ณัฐชาติ เมฆมาสิน นักวิเคราห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ให้ความเห็นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังน่ามีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 3 จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนีเป้าหมายในไตรมาส 3 ปีนี้สูงสุดอยู่ที่ 1,720 จุด ต่ำสุดอยู่ที่ 1,550 จุด

สำหรับหุ้นท้อปพิคของฝ่ายวิจัยได้แก่ หุ้น IVL ให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 70 บาท เนื่องจากแนวโน้มส่วนต่างผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง และยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง รองลงมาเป็นหุ้น BANPU ราคาพื้นฐาน 24 บาท ราคาถ่านหินแนวโน้มดีสนับสนุนผลประกอบการในอนาคตขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก

หุ้น SCB ราคาพื้นฐานที่ 172 บาท มีเหตุผลที่สนับสนุนคือราคาหุ้นปรับลดลงมากและสะท้อนผลกระทบจากรายได้ค่าธรรมเนียมหายไปแล้ว หุ้น TRUE ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท เนื่องจากกำไรไตรมาส 2 ปีนี้จะเติบโตสูงจากอานิสงส์การรับรู้การขายเงินลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน DIF ขณะที่คาดว่าจะไม่เข้าร่วมประมูลสัมปทานคลื่นใหม่ทำให้ฐานะการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ดี  และหุ้นPTT ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 64.50 บาท เนื่องจากเป็นหุ้นที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี ไม่ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลง บริษัทลูกที่มีอยู่สามารถบาลานซ์ความเสี่ยงให้สมดุล รวมทั้งครึ่งปีหลังจะเริ่มได้รับผลดีจากความคืบหน้ากรณีนำบริษัทพีทีโออาร์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย

วิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) บอกว่า ดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าพีอีเรโชน่าจะอยู่ในกรอบ 14-16 หรือ ดัชนีสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 1,760 จุด และต่ำสุดน่าจะอยู่ที่ 1550 จุด

“ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ปีนี้น่าจะเป็นลักษณะของการแกว่งตัวและสร้างฐานดัชนีเพื่อที่จะเดินหน้าต่อในไตรมาส 4 ปีนี้เพราะมีปัจจัยสนับสนุนรออยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยต่างประเทศจะไม่มีอะไรกดดันไปมากกว่าปัจจุบัน”

ส่วนหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ทยอยซื้อสะสม ประกอบด้วย หุ้น BBL ราคาพื้นฐาน 246 บาท เนื่องจากได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มๆ และเป็นหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (บุ๊คแวลู) 0.9 เท่า หุ้น BJC ราคาพื้นฐาน 68 บาท มีเหตุผลสนับสนุนผลประกอบการในไตรมาส 2 ปีนี้เติบโตดี และแนวโน้มการบริโภคฟื้นตัวจะช่วงทำให้ผลประกอบการเติบโตได้มากขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง

หุ้น SPALI ราคาพื้นฐาน 30 บาท โดยแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีแรกคิดเป็น 65% ของฝ่ายวิจัยประมาณการไว้และแนวโน้มครึ่งปีหลังอสังหาธุรกิจแนวราบมีความต้องการสูงขึ้น น่าจะทำให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีก

หุ้น STEC ราคาพื้นฐาน 25 บาท มีปัจจัยหนุนเรื่องของช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าโครงการประมูลภาครัฐมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาทน่าจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่น่าจะได้รับประโยชน์

สมบัติ เอกวรรณ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำว่าดัชนีเป้าหมายจากนี้ไปอีก 12 เดือนข้างหน้าคาดว่า ดัชนีจะไปตัวสูงสุดที่ 1,860 จุด โดยอิงพีอีเรโชที่ระดับ 17 เท่า และต่ำสุด 1,519 จุด พีอีเรโชที่ 13.9 เท่า

หุ้นแนะนำฝ่ายวิจัยประกอบด้วย หุ้น AOT ราคาพื้นฐาน 75 บาท มีปัจจัยสนับสนุนคือ การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังดี มีฐานะเป็นผู้นำในธุรกิจรายเดียว ขณะที่มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนสนามบินในประเทศมากขึ้น และได้รับประโยชน์จากรายได้การประมูลผู้บริหารพื้นที่สนามบินรายใหม่ที่จะเกิดขึ้น

หุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 192.50 บาท  โดยมีจุดเด่นในเรื่องการขยายสินเชื่อเติบโตได้ดี และเป็นแบงก์ที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกรายได้ค่าธรรมเนียมไม่มาก ขณะที่หุ้นซื้อขายต่ำกว่าบุ๊คแวลูด้วย

หุ้น CPALL ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 95 บาท เพราะอยู่ในธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีการเติบโตตามการขยายสาขา ซึ่งไตรมาสแรกมีสาขาราว 10,500สาขา และมีแผนเปิดสาขาต่อเนื่องคาดปีนี้มีกำไรเติบโต 14% และปีหน้าเติบโต16%

หุ้น HANA  ราคาพื้นฐาน 38 บาท เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากเงิบาทอ่อนค่าและเป็นหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่น้อยที่สุดในกลุ่ม

หุ้น PTTGC  ราคาพื้นฐาน 113 บาท มีปัจจัยเชิงบวกจากกำไรในไตรมาส 2 ปีนี้จะเติบโตดี มีการลงทุนใหม่ๆ และแม้ว่าราคาน้ำมันจะผันผวนแต่ได้รับผลกระทบไม่มากเพราะมีต้นทุนวัตถุดิบประเภทก๊าซเบส

หุ้น SEAFCO ราคาพื้นฐาน 9.88 บาท มีความน่าสนใจเพราะงานประมูลในมือที่มีอยู่ถือว่าทุบสถิติสูงสุดสามารถรับประกันการเติบโตของรายได้ในปีนี้ และบริษัทได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้มากกว่าเป้าหมายเดิม ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ถึง 30%

บล.ทิสโก้ ระบุว่า กลยุทธ์ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย ซึ่งจากการประเมินกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกที่ไม่น่ามีอีกมากแล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยที่น่าสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน แสดงนัยถึงตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงขาลง จำกัด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดี และโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปีหน้า (ซึ่งคาดว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งได้ในเดือน ก.ย. นี้) จะช่วยสนับสนุนให้ดัชนี ในระยะถัดไป

ยังคงมุมมองการอ่อนตัวของตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกในช่วง 1-2 เดือนนี้เป็นจังหวะทยอยสะสม ชอบหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก โดยจะเน้นหุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ดี และมีปันผลจ่ายระหว่างกาลดี หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนกรกฎาคม คือ ANAN, INTUCH, IVL, KKP, MINT, SCC

ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ ดัชนีเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 1,560-1,580, 1,520-1,530 และ 1,640-1,650 จุด

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight