Finance

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ฟันธงเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 1

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%จากระดับ 1.25-1.50% เป็น 1.50-1.75% ในการประชุมรอบที่สองของปีนี้ ในวันที่ 20-21 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ ท่ามกลางปัจจัยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวในระดับสูงกว่าระดับศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่อัตราว่างงานมีโอกาสที่จะลดลงทำสถิติต่ำที่สุดในรอบกว่า 5 ทศวรรษ คงเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐ ขยายตัวร้อนแรงเกินไป ขณะที่พัฒนาการของอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างทรงตัวบ่งชี้ว่าเฟดยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งจังหวะของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้

ตลาดคงจับตาการประชุมเฟดในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มในการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดภายใต้การนำของนายเจอโรม พาวเวล เป็นครั้งแรก โดยในการประชุมครั้งนี้ เฟดจะมีการเปิดเผยมุมมองเศรษฐกิจครั้งใหม่ อันคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณถึงมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในเชิงบวกมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของเศรษฐกิจ และตลาดแรงงาน อย่างไรก็ดี ในส่วนของมุมมองเงินเฟ้ออาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

ทั้งนี้ จุดสนใจอีกจุดหนึ่งของการประชุมครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นการส่งสัญญาณถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่เฟด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดน่าจะยังส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจำนวน 3 ครั้งในปีนี้ โดยเฟดคงจะติดตามประเด็นความเสี่ยงและปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอีกระยะ โดยหากพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงรักษาการเติบโตในระดับที่สูงกว่าศักยภาพต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่เฟดอาจจะส่งสัญญาณในการเร่งจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าได้

สำหรับผลต่อประเทศไทย การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในครั้งนี้ คงส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และไทยกว้างขึ้นอันอาจทำให้มีเงินทุนบางส่วนไหลออกไป ในขณะที่การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยคงเกิดขึ้นในระดับที่น้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของไทยยังไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศคงจะขึ้นกับการส่งสัญญาณทางการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย สำหรับผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีเงินทุนไหลออกไปบางส่วน แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ทิศทางค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า เนื่องจากปัจจัยกดดันค่าเงินบาทระยะนี้มาจากความเสี่ยงด้านการเมืองสหรัฐที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้ง ท่าทีของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐที่แข็งกร้าวมากขึ้น อันส่งผลให้มีแรงขายเงินดอลลาร์ออกมา จากความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามการค้า กอปรกับการขาดดุลการคลังในระดับสูง ซึ่งคงเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะกดดันการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อีกระยะ

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK