Finance

ทึ่ง!! บิ๊กบจ.ซื้อหุ้นคืนขนเงินปันผลจ่ายหนี้

ในช่วง 1 – 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ที่มีบทบาทในการบริหารบริษัทได้ประกาศซื้อหุ้นหลายแห่ง ซึ่งมีทั้งซื้อคืนสำเร็จ และไม่สำเร็จ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องพิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปีพบว่า บางแห่งมีการประกาศนโยบายปันผลในอัตราที่สูงกว่าปกติ จนทำให้มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า การที่ผู้บริหารที่ประกาศนโยบายปันผลในอัตราที่สูงและจำนวนจ่ายบ่อยครั้ง เพราะอาจต้องการนำเงินปันผลไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน หลังจากที่กู้เงินมาซื้อหุ้นคืนช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลังจะเห็นว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีการประกาศขอซื้อหุ้นคืน ดังนี้

รายชื่อผู้ถือหุ้นJAS มี.ค. 62 01

บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS โดย นายพิชญ์ โพธารมิก ได้ยื่นทำคำเสนอซื้อหุ้น JAS  เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559 ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCB เป็นผู้จัดการเตรียมคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินในครั้งน้ั้นภายในวงเงิน 4.25 หมื่นล้านบาท โดยราคาที่ทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 7.25 บาทต่อหุ้น ต่อมา มีผู้ที่แสดงเจตนาขาย จำนวน 324.90 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.47 ล้านบาท ส่งผลให้ “พิชญ์” ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 4.29 พันล้านหุ้นคิดเป็น 72.35%ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

จากนั้น JAS ก็มีการประกาศจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราที่สูงขึ้นเช่นกันโดยหลังจากที่การทำคำเสนอซื้อหุ้นเรียบร้อยแล้ว มีการประกาศจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.15 บาทต่อหุ้น ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ต่อมาจ่ายปันผลหุ้นละ 0.25 บาท ในเดือนพฤษภาคม 2560  ถัดมาจ่ายปันผลหุ้นละ 0.20 บาท ในเดือนกันยายน 2560 งวดต่อมาจ่ายปันผลหุ้นละ 0.15 บาท ในเดือนธันวาคม 2560 จากนั้นปันผล 0.20 บาท ในเดือนพฤษภาคม 2561 จ่ายปันผล 0.30 เดือนกรกฎาคม 2561 และล่าสุดประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.28 บาทในเดือนพฤษภาคม 2562

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า การจ่ายเงินปันผลหลังจากปิดโครงการซื้อหุ้นคืนไปแล้วมีจำนวนอัตราที่เพิ่มขึ้น และมีความถี่มากขึ้นกว่าปกติ และเป็นการนำเงินกำไรสะสมที่มีมาจ่ายเงินปันผล

รายชื่อผู้ถือหุ้น NOBLE 01

ขณะที่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE มีนายกิตติ ธนากิจอำนวย และ n Crowne Pte.Ltd. ได้ประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 โดยมีจำนวนที่รับซื้อ 195.85 ล้านหุ้นคิดเป็น 42.91% ในราคาหุ้นละ 12.25 บาท และผลสรุปมีผู้ที่แสดงเจตนาขายเพียง 52.77 ล้านหุ้นคิดเป็น 11.56% ของกิจการ ทำให้ “กิตติ” ถือหุ้นรวม 199.73 ล้านหุ้นคิดเป็น 43.76% nCrowne Pte.Ltd. ถือหุ้น 113.66 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.90%

ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562  คณะกรรมการ NOBLE อนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 6.90 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการจ่ายเงินปันผลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท

นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า การที่ “กิตติ” ซึ่งเดิมมีหุ้นอยู่ 7.96% หรือ 36.33 ล้านหุ้น ต่อมากลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่นี้ (กิตติ และ nCrowne) ทำการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม เมื่อมิถุนายน 2561 จนมาถือหุ้น 57.09% และทำคำเสนอซื้อ tender offer เสร็จเมื่อกันยายน 2561 ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 68.66% ทำให้รวมถือหุ้น 313.39 ล้านหุ้น

จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาจาก 2 ครั้ง คิดเป็นเงินประมาณ 3.4 พันล้านบาท ซึ่งเงินทุนที่ใช้ซื้อน่าจะมีแหล่งสนับสนุนอย่างเงินกู้ธนาคาร ทำให้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ มีภาระต้องใช้คืนเงินกู้โดยเร็ว เพื่อลดดอกเบี้ย

ขณะที่สินทรัพย์ที่ NOBLE มี คืออสังหาริมทรัพย์และที่ดิน ซึ่งในงบสิ้นสุดไตรมาส 3/61 จะมีมูลค่ารวมกันราว 1.9 หมื่นล้านบาท บันทึกในรูปสินค้าคงเหลือ (Inventory) ดังนั้นหลังผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามามีอำนาจในบริษัทจากการถือหุ้นถึง 68.66% การจะขายสินทรัพย์ หรือนำเงินที่ได้จากการโอนคอนโด หรือขายโครงการของบริษัท ก็สามารถทำได้ และทำให้ได้เงินก้อนใหญ่มากพอ เพื่อจ่ายปันผล เพื่อให้กลุ่มผู้ถือหุ้นนำไปใช้คืนธนาคาร เพื่อลดภาระดอกเบี้ย

กรณีนี้จะคล้ายๆกับในอดีตที่ผู้บริหาร SVI ทำการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม และกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ ทำให้ต้องมีการจ่ายเงินปันผลก้อนใหญ่ (ตอนนั้น SVI จ่ายปันผล 0.95 บาท ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 2 บาทต่อหุ้น) เพื่อนำไปคืนธนาคารที่ให้กู้ในการเข้าซื้อหุ้น

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลข้างต้นเป็นการตั้งข้อสังเกตุว่า การที่ผู้บริหารซื้อหุ้นคืนนั้น อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์เพื่อตัวเองและอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียเปรียบหรือไม่ ลองพิจารณากันดูก็แล้วกัน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight