นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการควบรวมกิจการธนาคารทหารไทยกับธนาคารธนชาต ว่า คณะกรรมการบริหารทหารไทยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด คาดว่าจะได้ข้อสรุปและลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ภายในเดือนมีนาคมนี้ จากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป
สำหรับรายละเอียดที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือจำนวนเงินที่จะเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนของคลัง สินทรัพย์ที่จะควบรวม มูลค่าหุ้น จำนวนพนักงาน อัตราเงินเดือน กระบวนการควบรวมจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน เนื่องจากมีรายละเอียดจำนวนมาก แต่ทุกอย่างจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปี 2562 เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีจากการควบรวมกิจการ
ทั้งนี้ หลังการควบรวม 2 ธนาคาร จะทำให้ธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ขึ้นจากอันดับ 6 เป็นอันดับ 5 ในระบบ และส่งเสริมการทำธุรกิจในแง่รายย่อยและธุรกิจลิสซิ่งที่ธนาคารธนาคารไทยไม่มี ทำให้มีความสามารถแข่งขันในยุคที่ทุกธนาคารต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด และมีขนาดใหญ่พอที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศเหมือนกับธนาคารอื่น
ขณะเดียวกันยังทำให้ราคาหุ้นทหารไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากที่ผ่านมามูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงเท่าตัวจากพาร์ 1 บาท เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ
ในส่วนของกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นจะใส่เงินเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น จะทำให้เกิดความคุ้มค่า เพราะเห็นผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นหลังแบงก์ทั้ง 2 แห่ง ได้ควบรวมกิจการกัน ขนาดของแบงก์ใหม่ก็จะใหญ่ขึ้น ซึ่งแบงก์ใหม่จะมีทุนพอต่อการแข่งขัน สามารถทำกำไรได้
