“ธีระชัย” ระบุ วิกฤติการณ์ธนาคารสหรัฐยังน่าเป็นห่วง มาตรการรัฐ ช่วยแก้ปัญหาได้บางส่วน ชี้ “ความเชื่อมั่น” ผู้ฝากเงิน เป็นกุญแจสำคัญ ที่จะยุติวิกฤติที่เกิดขึ้น
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจ Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล แสดงความเห็นเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ธนาคาร ที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ มองว่า สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง โดยระบุว่า
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดวงเงินกู้พิเศษ ให้ธนาคารในสหรัฐกู้ เพื่อรองรับการไถ่ถอนเงินฝาก วงเงินนี้ยอมรับพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรองค์กรของรัฐ ที่ธนาคารมีอยู่เป็นหลักประกัน
ปัญหาในระบบธนาคาร เกิดจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และสูงกว่าในอดีตมาก ธนาคารถือตราสารหนี้ระยะยาวเอาไว้มาก และซื้อตราสารเหล่านี้ ในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยต่ำ เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทันหัน ธนาคารปรับตัวไม่ทัน ไม่ได้ขายตราสารหนี้ออกไปก่อนหน้า เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาตลาดของตราสารหนี้ระยะยาวก็ลดลง ธนาคารขาดทุนจำนวนมาก
ธนาคารก็ไม่ปรับตัว ไม่ขายตราสารหนี้ออกไปแต่เนิ่น ๆ โดยถือว่า ต้องการจะเก็บเอาไว้จนครบกำหนด ซึ่งจะได้เงินต้นคืนครบตามจำนวน par แต่เมื่อธนาคารถูกแห่ถอนเงิน ธนาคารก็จนมุม ต้องเอาตราสารหนี้ออกมาขาย จึงทำให้เกิดขาดทุนขึ้นจริงในการขายตราสารหนี้ ทำให้เหลือเงินกองทุนไม่พอ ทางการต้องปิดธนาคารลง
แนวทางการจัดตั้งวงเงินให้กู้พิเศษ จึงช่วยแก้ปัญหานี้ได้ระดับหนึ่ง เมื่อธนาคารถูกถอนเงิน ก็ไม่ต้องขายตราสารหนี้ ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจริง เพียงแต่เอาตราสารหนี้ ไปเป็นหลักประกันของกู้เงินจากเฟด
ข้อมูลที่เฟดเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ธนาคารขนาดเล็ก ในสัปดาห์ก่อนหน้า ถูกไถ่ถอนเงินฝาก 1.19 แสนล้านดอลลาร์ เงินฝากธนาคารเล็กโดยรวม ลดลงเหลือ 5.46 ล้านล้านดอลลาร์ จำนวนเงินฝากไหลออก สูงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 25รูป 2550
ธนาคารขนาดเล็กต้องกู้เงิน เพื่อรองรับการไถ่ถอนเงินฝาก เป็นจำนวนเพิ่มขึ้น 2.53 แสนล้านดอลลาร์ คือเตรียมสภาพคล่อง เอาไว้รองรับการไถ่ถอนในสัปดาห์ถัดไป
เงินฝากที่ไหลออกจากธนาคารเล็กดังกล่าว ไหลไปเป็นเงินฝากที่ธนาคารใหญ่ 0.67 แสนล้านดอลลาร์ ที่เหลือไหลเข้าไปในกองทุนตราสารระยะสั้น ซึ่งขณะนี้จ่ายดอกเบี้ยสูง ตามการปรับนโยบายการเงินของเฟด
ยอดสินทรัพย์ในงบดุลของเฟด จะเห็นได้ว่า การปรับลดสภาพคล่องในตลาดการเงิน ที่ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ภายใน 2 สัปดาห์ วิกฤติเงินฝากธนาคาร ทำให้สภาพคล่องที่ลดลง กลับสูงขึ้นไป 2 ใน 3 ของจำนวนที่ลดลงแล้ว
ถามว่า มาตรการของเฟด จะยุติวิกฤติธนาคารสหรัฐได้จริงหรือไม่
ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้ฝากเงินในธนาคารเล็ก ซึ่งขณะนี้ ทั้งไบเดน และรัฐมนตรีคลัง พยายามกล่าวแบบเหมารวมว่า ผู้ฝากเงินไม่ต้องห่วง เพราะเงินฝากปลอดภัย
แต่ในข้อเท็จจริง ทั้งไบเดน และรัฐมนตรีคลัง ไม่มีอำนาจที่จะประกันเงินฝากของธนาคารในสหรัฐทั้งหมด จะทำอย่างนั้นได้ ต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งรัฐสภาจะยอมดำเนินการ ก็ต่อเมื่อสภาวะวิกฤติต้องเข้มข้นกว่านี้
ถ้าหากผู้ฝากเงินยังเดินหน้า ย้ายเงินฝากจากธนาคารเล็ก ไปสู่ธนาคารใหญ่ ไปสู่กองทุนตราสารหนี้ ไม่หยุดยั้ง วิกฤตก็จะระเบิดขึ้น เพราะธนาคารเล็กต้องมีตราสารหนี้ที่จะมาวางเป็นหลักประกัน ในการกู้จากวงเงินพิเศษ และตราสารหนี้มีเพียงจำกัดเท่านั้น และสมัยนี้ การถอนเงินฝาก สามารถสั่งได้แบบฉับพลัน ผ่านโมบายแบงค์กิ้ง
ดังนั้น สถานการณ์ระบบธนาคารสหรัฐ จึงยังเปราะบางมาก
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘กอบศักดิ์’ ชี้ ‘ดอยซ์ แบงก์’ หุ้นร่วงหนัก เหตุตลาดอยู่ในภาวะ ‘อ่อนไหว’
- ‘วิกฤติแบงก์ล้ม’ พ่นพิษ ฉุดยอดเงินฝากธนาคารสหรัฐ ดิ่งหนักสุดรอบ 1 ปี
- ‘เจพีมอร์แกน’ คาด ‘วิกฤติธนาคาร’ ทำ ‘เศรษฐกิจโลก’ เสี่ยงเจอภาวะ ‘Minsky Moment’
