ธนาคารแห่งประเทศไทย ยันหากโอนเงินผ่านแอปเกิน 50,000 บาทต่อครั้งต้องสแกนใบหน้า ชี้หากธนาคารพร้อมเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566
นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันการเงิน อยู่ระหว่างทยอยทำมาตรการ เช่น การยืนยันตัวตนด้วย biometric ผ่านการใช้ใบหน้า Face Recognition ในการทำธุรกรรมโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง หรือเกิน 2 แสนบาทต่อวัน ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะเห็นว่าทุกธนาคารไม่ได้มีฐานข้อมูลใบหน้าลูกค้าทั้งหมด เช่น บางธนาคารเก็บได้มากกว่า 50% หรือบางธนาคารเก็บได้ไม่ถึง
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับฐานข้อมูล เพราะการเก็บข้อมูล biometric เพิ่งเริ่มใช้มาในช่วง 2 ปี และไม่ได้เป็นการบังคับ อีกทั้งยังมีเรื่องกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ต้องปฏิบัติ จึงทำให้การเก็บข้อมูลยังทำไม่ได้มากนัก แต่หลังจากนี้ ลูกค้าสามารถเข้าไปยืนยันตัวตนกับสถาบันการเงินได้
นอกจากนี้ ธปท. ได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อดูแลความเสี่ยงจากการทุจริตที่เกี่ยวกับบัญชีม้า ที่มีการโอนเงินผ่านสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี โดยขณะนี้ ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ธปท. และ ก.ล.ต. ได้หารือร่วมกันเพื่อดูแนวทางในการป้องกันต่อไป
“การกำหนดวงเงินการโอนตั้งแต่ 50,000 บาท ที่จะต้องยืนยันตัวตนด้วย biometric นั้น เป็นวงเงินขั้นต่ำที่เรากำหนด แต่หากธนาคารไหนอยากจะเข้มงวด ก็สามารถกำหนดกรอบวงเงินในการยืนยันตัวตนก่อนโอนใหม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มี พบว่าวงเงิน 50,000 บาท เป็นวงเงินที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงและความสะดวก หากดูสถิติ จะพบว่ามีเพียง 1% ที่มีการโอนเงินเกิน 50,000 บาท หรือประมาณ 48 ล้านรายการ เพราะถ้ากำหนดวงเงินต่ำกว่านี้ อาจจะต้องมีการยืนยันตัวตนบ่อย ซึ่งอาจไม่สะดวก และหลังจากการปรับวงเงิน-โอนเงินที่ต้องทำ biometric แล้ว ในระยะต่อไปจะขยายไปสู่การเบิก-ถอนเงิน” นางสาวสิริธิดา กล่าว
ทั้งนี้ ธปท. ได้จัดทำชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อรับมือกับภัยหลอกลวงจากมิจฉาชีพในหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในชุดมาตรการป้องกัน เพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นนั้น ธปท. ได้กำหนดให้ลูกค้าธนาคารที่ต้องการโอนเงินผ่าน mobile banking มากกว่า 50,000 บาท/ครั้ง จะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า โดยให้ธนาคารที่มีความพร้อมเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่มีนาคม 2566 และให้ธนาคารทุกแห่งต้องดำเนินมาตรการนี้ให้แล้วเสร็จภายในมิถุนายน 2566
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ธปท. เตือน ‘เงินบาท’ ผันผวนสูง กังวล ‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ยแรง
- ครม. ไฟเขียวให้อำนาจ ‘ธปท.’ กำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง สกัดหนี้ครัวเรือน!
- ‘ธปท.’ รวมไว้ให้! เบอร์ศูนย์รับแจ้งเหตุภัยการเงินจากมิจฉาชีพ เซฟไว้เลย!
