ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2561 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะประกาศหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าและออก ในการคำนวน ดัชนีSET 50 และ SET 100 และนักวิเคราะห์จะมีการประเมินและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าหุ้นตัวไหนบ้างที่จะเข้าคำนวณ เพื่อที่นักลงทุนจะนำข้อมูลมาใช้ตัดสินใจในการเข้าลงทุนก่อนที่จะประกาศใช้จริง
ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังพบว่า บรรดาหุ้นที่ถูกนำเข้ามาคำนวณจะสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นได้ประมาณ 5% ในทางกลับกันหุ้นที่ถูกคัดออกก็จะลดลงในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้น ตอนนี้น่าจะถึงเวลาที่ผู้ลงทุนจะต้องหันมาดูหุ้นในพอร์ตลงทุนของตัวเองว่า จะถูกเกี่ยวโยงกับประเด็นปรับเข้าออกในครั้งนี้หรือไม่
บล.ทรีนีตี้ ได้เปิดผลการประเมินหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าและคัดออกจาก ดัชนี SET50 และ ดัชนี SET100 โดยฝ่ายวิจัยได้ทำการคำนวณหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะถูกนำเข้า/ตัดออกจากดัชนี SET50 และ SET100 ประจำรอบครึ่งปีหลังของปี 2561 โดยใช้ข้อมูลเบื้องต้นถึงวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ข้อมูลจริงจะใช้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กรกฎาคม) มีผลดังนี้
- หุ้นที่มีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ หุ้น KTC, RATCH, BGRIM, ESSO
- หุ้นที่มีแนวโน้มถูกตัดออกจากดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ หุ้น WHA, BCP, PSH, KCE
- หุ้นที่มีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET100 ในรอบถัดไปได้แก่ หุ้น RATCH, BGRIM, VGI, RS, SPCG, PLANB, ERW, THANI, PTL
- หุ้นที่มีแนวโน้มถูกตัดออกจากดัชนี SET100 ในรอบถัดไปได้แก่ หุ้น BA, UNIQ, MONO, ANAN, THCOM, BIG, MC, JMART, JWD
อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาของฝ่ายวิจัยในอดีตนับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา พบว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ถูกนำเข้าและตัดออกจากดัชนีนั้นจะมีนัยสำคัญเฉพาะในส่วนของดัชนี SET50 เท่านั้น โดยหากเจาะจงไปยังหุ้นที่ถูกนำเข้าดัชนี SET50 จะพบว่ามักมีการปรับตัวได้ดีกว่า(Outperform)ตลาดราว 5% ในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าวันบังคับใช้จริง (Effective date) ซึ่งตรงกับช่วงนี้พอดี
ด้วยเหตุนี้ฝ่ายวิจัยจึง แนะนำนักลงทุนที่ต้องการลงทุนตามธีมดังกล่าว “ซื้อเก็งกำไร” หุ้นที่เกี่ยวข้องได้แก่ KTC, RATCH, BGRIM, ESSO ในทางกลับกัน หุ้นที่ถูกตัดออกจากดัชนีมักมีการปรับตัว Underperform ตลาดราว 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
จึงแนะนำนักลงทุนระยะสั้นชะลอการลงทุนในหุ้น WHA, BCP, PSH, KCE ออกไปก่อน (สำหรับ WHA ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะกลาง-ยาว จากแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการประกาศใช้พรบ. EEC ในช่วงถัดไป ส่วน KCE แนะนำนักลงทุนระยะสั้นที่เก็งกำไรตามธีมเงินบาทอ่อนค่าให้ย้าย( Switch) การลงทุนไปเข้าสู่ หุ้นHANA แทน)
ขณะที่บล.บัวหลวง แนะนำว่า ปัจจัยที่จะมีอิทธิพลกับตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ส่วนหนึ่งคือประเด็นของ การปรับหุ้นเข้า-ออก สำหรับการคำนวณดัชนีฯสำคัญๆ ทั้งดัชนี MSCI quarterly ซึ่งมีการทบทวน (review) ประมาณวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ (โดยผลจะออกมาวันที่ 14 พฤษภาคมกลางคืน) และต่อด้วยคาดการณ์หุ้นติดโผ SET50 รอบใหม่ ที่จะประกาศกลางเดือนมิถุนายนเบื้องต้นมี GULF คาดว่าติด SET50
ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าหุ้นที่แนะนำให้ซื้อเก็งกำไร เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ในกลุ่มพลังงาน และธุรกิจนอนไฟแนนซ์ ซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังประเมินว่า ความสามารถในการทำกำไรปีนี้น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และให้ราคาเป้าหมายที่สูงกว่าราคาซื้อขายในปัจจุบัน
เมื่อเข้าไปดูข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ในส่วนของการเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ 4 หุ้นบิ๊กแคปที่คาดว่าจะถูกเข้าคำนวณ SET50 ดังนี้
หุ้น KTC ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 97.85% จากราคา 186 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 368 บาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 281.70 บาท
หุ้น RATCH ราคาหุ้นปรับลดลง 4.15% จากราคา 54.25 บาทท ลดลงมาอยู่ที่ 52 บาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 53.61 บาท
หุ้น BGRIM ราคาหุ้นปรับลดลง 1.74% จากราคา 28.75 บาท เหลือ 28.25 บาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 28.65 บาท และ
หุ้น ESSO ราคาหุ้นปรับลดลง 1.70%จากราคา 17.60 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 17.30 บา ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 18.07 บาท
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า หุ้นเกือบทุกบริษัทที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี ยกเว้นราคาหุ้น KTC เพียงบริษัทเดียวที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง ดังนั้น หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเข้าคำนวณใน SET 50 และ SET100 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นได้ไม่น้อยสำหรับในช่วงที่ดัชนีผันผวนแบบนี้