Finance

‘ธนชาต’ รุกฟินเทคจับมือ ‘บีไฮฟ์ เอเชีย’ เปิดสินเชื่อแวลูเชน

นวัตกรรมสินเชื่อยุค 4.0 กับสินเชื่อแวลูเชน ที่ช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากในการขอสินเชื่อ ลดระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติ โดยสถาบันการเงินเป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้สั่งสินค้า ตอบโจทย์กลุ่ม SMEs ช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น จะเป็นบริการใหม่ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง ธนาคารธนชาต และบริษัท บีไฮฟ์ เอเชีย ช่วยผลักดันบริการสินเชื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า SMEs ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายอนุวัติร์ เหลืองทวีกุล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจขนาดเล็ก ธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับธุรกรรมฟินเทค (Fintech) โดยล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก บริษัท บีไฮฟ์ เอเชีย จำกัด (Beehive Asia Co., Ltd.) ซึ่งมีความแข็งแกร่งในการสร้างตลาดและวางแพลตฟอร์ม “Value Chain Financing Program” หรือโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน

โปรแกรมดังกล่ว จะช่วยลดขั้นตอนการขอสินเชื่อ การอนุมัติสินเชื่อ และกระบวนการชำระเงินสำหรับคู่ค้า ในธุรกิจที่มีการผลิตและการสั่งซื้อโดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่ม SMEs โดยธนาคารมั่นใจว่า โปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน จะตอบโจทย์ลูกค้าสินเชื่อทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี

thumbnail Tbank Beehive1
(กลางซ้าย) นายอนุวัติร์ เหลืองทวีกุล (กลางขวา) นายจัสติน ไรท์ 

“ความโดดเด่นของโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน นอกจากจะลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าแล้ว ยังสร้างปรากฏการณ์ให้ลูกค้าในกลุ่ม SMEs เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนกระบวนการกู้ยืมเงินผ่านระบบสนับสนุนทางดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจากขั้นตอนแบบเดิมๆ จุดเด่น คือ สินเชื่อภายใต้โปรแกรมนี้ เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ลูกค้าสามารถเบิกใช้สินเชื่อได้ถึง 90% ของใบแจ้งหนี้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้ โดยผู้ผลิตสินค้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหมุนเวียนหรือสภาพคล่องอีกต่อไป” นายอนุวัติร์ กล่าว

โปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน มีหลักการง่ายๆ คือ เมื่อลูกค้าผู้สั่งสินค้าต้องการสั่งซื้อจากผู้ผลิตสินค้า โดยทั้งสองฝ่าย จะเป็นลูกค้าของธนาคารมาก่อนหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน ก็สามารถแจ้งชื่อทั้งชื่อผู้สั่งสินค้าและผู้ผลิตมายังธนาคาร โดยในกระบวนการทั้งหมด ธนาคารธนชาต และบีไฮฟ์ เอเชีย จะดำเนินการติดต่อไปยังลูกค้าผู้สั่งซื้อสินค้า เพื่อขอข้อมูลเบื้องต้นของผู้ผลิตสินค้า ที่เป็นคู่ค้าของผู้สั่งซื้อรายนั้นๆ พร้อมกับการเสนอวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ผลิตสินค้า โดยจะพิจารณาจากประวัติที่ดีของผู้ผลิตรายนั้นเป็นหลัก และพิจารณาวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของมูลค่าการสั่งซื้อ หรือ 90% ของใบแจ้งหนี้ ด้วยข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ MLR+1 โดยไม่ต้องมีหลักประกันใดๆ

อีกทั้งไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการกู้ (ปกติเก็บ 2% ของวงเงินกู้) หลังจากมีการผลิตสินค้าเรียบร้อย และมีการออกใบเรียกเก็บเงินแล้ว ลูกค้าผู้ผลิตสินค้าสามารถยื่นขอเบิกใช้สินเชื่อจากธนาคารได้ทันที ผ่านโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน โดยไม่ต้องรอการชำระเงินค่าซื้อสินค้าจากผู้สั่งซื้อสินค้า ซึ่งอาจจะต้องรออีก 1-2 เดือน หรือตามระยะเวลาเครดิต เพื่อผู้ผลิตจะได้นำเงินที่ได้ทันที จากธนาคารผ่านระบบแวลูเชน ไปดำเนินการผลิตสินค้าสำหรับคำสั่งซื้ออื่นๆ ต่อไป โดยไม่ต้องรอคู่ค้าผู้สั่งซื้อชำระเงินเข้ามา

นอกจากนี้ ลูกค้าผู้สั่งซื้อยังสามารถชำระเงินค่าสินค้าดังกล่าว ผ่านโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชนได้อีกด้วย ดังนั้น กระบวนการดังกล่าวจึงเพิ่มความคล่องตัว และความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุด

นายจัสติน ไรท์ ผู้อำนวยการของบีไฮฟ์ภูมิภาคเอเชีย กล่าวเสริมว่า โปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน จะทำให้ธนาคารธนชาต มีศักยภาพที่สำคัญในการเสริมความแข็งแกร่ง ให้กับกลุ่มสินค้าและบริการเพื่อธุรกิจ SME ของธนาคาร และหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะประสานความร่วมมืออันแข็งแกร่งกับธนาคาร โดยมีเป้าหมายในการขยายความร่วมมือต่อไปในอนาคต

“ด้วยความพร้อมของธนาคารธนชาต กับความเป็นมืออาชีพของพันธมิตรทางธุรกิจระดับสากลของบีไฮฟ์ เอเชีย ธนาคารมั่นใจอย่างยิ่งว่าโปรแกรมสินเชื่อแวลูเชน จะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และจะมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัว ของวงจรการผลิตและการสั่งซื้อในทุกอุตสาหกรรม และรองรับฟินเทค ประเทศไทยในยุค 4.0 ในอนาคตอันใกล้นี้” นายอนุวัติร์ กล่าว

Avatar photo