Stock - Finance

ธีมการลงทุน ‘หุ้นไทย’ โค้งสุดท้ายปี 2565

สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ถือว่ายังมีแนวโน้มที่ย้อนแย้งผสมกันระหว่างแรงหนุนและแรงต้าน จึงพบว่ามีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม บทวิเคราะห์ บล. เกียรตินาคินภัทร ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2565 ไว่ที่ 1,670 จุด

โดยมีปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การฟื้นตัวที่โดดเด่นของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, เงินลงทุนของกองทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีสัดส่วนการถือครองเพียง 23% ในปี 2564 จาก 32% ในปี 2555 และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะทยอยออกมาก่อนการเลือกตั้งในปีหน้า

shutterstock 1187632372

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, ราคาพลังงานที่สูงจะเป็นผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและภาระการอุดหนุนของทางการ, สังคมผู้สูงอายุจะเป็นผลกระทบต่อการบริโภคในระยะยาว และความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะกระทบต่อประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว

ดังนั้น การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย จึงต้องมุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงรายกลุ่มธุรกิจ ที่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มองว่า จะได้รับผลบวกในช่วงที่เหลือของปีนี้ประกอบด้วย

1. หุ้นท่องเที่ยว (Tourism) จากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจ นักท่องเที่ยวกลับมาเกินคาด
หุ้น Top Pick ได้แก่ MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท ฟื้นตัวจากความต้องการที่อัดอั้นไว้กลับมา ซึ่งผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/65 เกิดจากแรงหนุนของการฟื้นตัวธุรกิจโรงแรมในยุโรป และคาดว่าธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศ น่าจะฟื้นตัวดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง เพราะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

2. หุ้นสุขภาพ (Health Care) มีแรงหนุนจากผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศ
หุ้น Top Pick ได้แก่ BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องอย่าง จากแรงหนุนของการฟื้นตัวจำนวนผู้ป่วยต่างประเทศที่ดีกว่าที่คาด และการเติบโตต่อเนื่องของอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาด บริษัทได้มีการขยายจำนวนโรงพยาบาลและเตียงเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดรายได้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง จะส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นด้วย

3. หุ้นผลิตอาหารส่งออก (Food Processor) เข้าสู่ฤดูกาลส่งออก เข้าไฮซีซั่นเติบโตในไตรมาส 3
หุ้น Top Pick ได้แก่ GFPT หรือ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาท ถือว่าอัพไซด์มากขึ้นในครึ่งปีหลัง คาดว่ากำไรจะขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากยอดขายส่งออกที่สูงตามฤดูกาลในไตรมาส 3 ราคาเนื้อสัตว์ยังคงยืนอยู่ในระดับสูง ขณะที่ต้นทุนราคาอาหารสัตว์ลดลง ดังนั้นอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้น

4. หุ้นค้าปลีก (Retailers) ความเชื่อมั่นการบริโภคที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หุ้น Top Pick ได้แก่ BJC หรือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 37.75 บาท เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้น ยอดขายจากธุรกิจค้าปลีก BigC และรายได้ค่าเช่าขยายตัวได้ดี ส่วนธุรกิจการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและบรรจุภัณฑ์ก็ได้รับผลดีจากต้นทุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ขณะที่หุ้นซื้อขายด้วย Valuation ที่น่าสนใจ และอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ค้าปลีกรายอื่น

shutterstock 1332699257 1

5. หุ้นโรงไฟฟ้า (Utilities) ค่า Ft ปรับขึ้น หนุนอัตรากำไรกลับมาดี
หุ้น Top Pick ได้แก่ BGRIM หรือ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 41 บาท และ GPSC หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 72 บาท ทั้งคู่เป็นผู้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) นอกจากนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า จากต้นทุนราคาก๊าซที่ลดลงจากแหล่งในอ่าวไทย เทียบกับการใช้ LNG ณ ปัจจุบัน จึงเชื่อว่าอัตรากำไรจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น

6. หุ้นธนาคาร (Bank) ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หุ้น Top Pick ได้แก่ BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 150 บาท ด้วยงบดุลที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่อง และสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจอยู่ในระดับสูง คาดว่าจะได้รับประโยชน์การขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจและการปรับอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ BBL มีการตั้งสำรองอยู่ในระดับสูง ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่าธนาคารอื่น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และ Valuation ยังน่าสนใจ PBV อยู่ที่ 0.5 เท่า

shutterstock 574713295

7. หุ้นถ่านหิน (Coal Energy) ขาขึ้นของราคาถ่านหิน
หุ้น Top Pick ได้แก่ BANPU หรือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16 บาท คาดว่าราคาถ่านหินจะยืนอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซในยุโรป ในขณะที่การผลิตถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูงเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก เนื่องจากปัญหาสภาวะอากาศในออสเตรเลีย

8. หุ้นโรงกลั่น (Oil & Gas) น้ำมันขาดแคลน ความต้องการใช้กลับมา
หุ้น Top Pick ได้แก่ TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74.4 บาท อุปสงค์น้ำมันที่สูงขึ้น ค่าการกลั่นฟื้นตัวดีขึ้นจากที่ปรับลดลงไปในช่วงกรกฎาคม หลังจากที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นหลังจากที่การเดินทางค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ขณะที่ปริมาณการผลิตในครึ่งปีหลังจะลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในสหรัฐและเอเซีย รวมทั้งปริมาณการส่งออกน้ำมันจากรัสเซียก็ลดลงด้วย อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่โรงกลั่นในยุโรปต้องปรับลดกำลังการผลิตจากการที่ต้นทุนราคาก๊าซสูงขึ้น

shutterstock 539854030

ทั้งหมดนี้ก็เป็น 8 ธีมการลงทุนและหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่ง บล. เกียรตินาคินภัทร ให้มุมมองเอาไว้สำหรับการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2565

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน