2565 ถือว่าเป็นปีที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแนวราบ ที่ขยายตัวได้ดี แต่ในอีกด้านก็ยังมีความท้าทายอยู่มาก ทั้งความกังวลของต้นทุน ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่รุนแรง ทำให้เราเริ่มเห็นหลายโครงการมีการก่อสร้างที่ล่าช้าออกไป ประกอบกับกำลังซื้อที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการทยอยประกาศผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เราเลยจะพามาวิเคราะห์กันว่าทิศทางของ “หุ้นอสังหาริมทรัพย์” ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง มีอัพไซด์และดาวน์ไซด์อะไร และแนวโน้มครึ่งปีหลังมีประเด็นไหนบ้างที่ต้องจับตามอง
บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2565 ของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเติบโตปานกลาง จากยอดขาย (Presale) ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 17% แตะระดับ 7.5 หมื่นล้านบาท และภาพรวมกำไรอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่โครงการแนวราบในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบนก็ยังคงทำผลงานได้ดี ดังนั้น จึงยังคงน้ำหนักหุ้นกลุ่มอสังหาฯ “เท่าตลาด” แนะนำ “ซื้อ” AP และ LH
AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท เนื่องจากเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ อันดับ 1 ในแง่ยอดพรีเซลนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และคาดว่าจะทำผลงานในครึ่งปีแรกได้โดดเด่นที่สุด สามารถสร้างการเติบโตทั้งยอดขายล่วงหน้าและกำไร
LH หรือ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10 บาท เนื่องจากเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ อันดับ 1 ในแง่มูลค่าตลาดและน่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรที่ดีในทุกหน่วยธุรกิจ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เชิงพาณิชย์ โรงแรม และค้าปลีก หลังการจากเปิดประเทศ นอกจากนี้ คาดว่าเงินปันผลระหว่างกาลจะอยู่ที่ 3% สูงที่สุดในกลุ่มอสังหาฯ
ทั้งนี้ ผลสำรวจยอดขาย (presales) ในช่วงครึ่งปีแรก และคาดการณ์ยอดรวมทั้งปี 2565 ของหุ้นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำในตลาด ได้แก่ AP, SPALI, QH, PSH และ LH พบว่าครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 75,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และประเมินยอดรวมทั้งปีอยู่ที่ 149,200 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังต้องบอกว่ามีทั้งอัพไซด์และดาวน์ไซด์ ประเด็นแรก คือ อัตราเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บ้านราคาไม่แพงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าบ้านในราคาระดับปานกลางถึงราคาระดับสูง
ประเด็นถัดมา คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจปรับเพิ่มขึ้นอีก 3 ครั้งในครึ่งปีหลัง ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนที่มีความเสี่ยงเนื่องจากหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ในปี 2563
แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอัพไซด์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพิ่มเติม รวมไปถึงการกลับมาของชาวต่างชาติที่จะเข้าซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ราคาที่ดินเปล่ายังขยับต่อเนื่อง พร้อมเปิด 5 ทำเลทองราคาพุ่งแรง!
- ส่องคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้าน ราคาที่ดินกดดันโครงการใหม่ลดลง ‘เสนา’ มาแรง
- ผู้มีรายได้น้อยเฮ!! การเคหะฯ เปิดอาคารให้เช่าราคาถูก 8 ทำเล เก็บกระเป๋าเข้าอยู่ได้ทันที