Stock - Finance

‘นฤมล’ ส่งสัญญาณเตือนระวังหนี้เสีย!!

“นฤมล” ส่งสัญญาณเตือนระวังหนี้เสีย ระบุรัฐบาลต้องเตรียมมาตรการ ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง  

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์  กรรมการบริหาร (กก.บห.) และหัวหน้าทีมนโยบายพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ เดือนมิถุนายน 2565 พุ่งสูงถึง 9.1% สูงสุดในรอบ 40 ปี และสูงกว่าเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ 8.8% จึงกังวลกันว่าวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ระบบธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 1% ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นไปอีก ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอีก ธุรกิจที่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงควรทำการป้องกันความเสี่ยงไว้ด้วย

ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนมิถุนายน 2565 เท่ากับ 7.66% พุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาสินค้ากลุ่มพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น เดือนหน้า จึงคาดกันว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงขึ้นดอกเบี้ยแน่ ทั้งเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท

หนี้เสีย

ถึงแม้ระบบการเงินไทยจะมีเสถียรภาพ แต่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต ภาคครัวเรือนยังเปราะบางมาก จากหนี้ครัวเรือนที่สูงร่วม 90% ของ GDP โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่เปราะบางสุด

เดือนหน้าเมื่อ กนง. ขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจด้อยลงไปอีก และจะกระทบคุณภาพสินเชื่อรายย่อยแน่นอน

ยกตัวอย่าง ถ้ามีหนี้ 10 ล้านบาท ที่ยังค้างจ่ายอีก 20 ปี หรือ 240 เดือน อัตราดอกเบี้ยเดิมจ่ายอยู่เท่ากับ 6% ต่อปี เงินผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนก็จะอยู่ที่ราว 71,643 บาท ถ้าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% เงินผ่อนจะเพิ่มเป็น 77,530 บาทต่อเดือน เท่ากับภาระเพิ่มขึ้น 5,887 บาทต่อเดือน

ข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2564 สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่ากว่า 2 ใน 3 ของครัวเรือนรายได้น้อยที่เป็นหนี้ มีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้

หนี้เสีย

ล่าสุด รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มเห็นสัญญาณด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อบัตรเครดิต และส่วนบุคคลจากธนาคารพาณิชย์ ส่วนของ Non-bank คุณภาพสินเชื่อก็เริ่มมีแนวโน้มด้อยลง จากสัดส่วนของหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน เพราะเป็นกลุ่มที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง จึงอ่อนไหวกับภาระต้นทุนและค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น

รัฐบาลจึงต้องเตรียมมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ ควบคู่กับมาตรการเฉพาะจุดเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ใช้กลไกที่มีเร่งให้ความรู้ครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ถึงแนวทางการแก้หนี้ และต้องทำด้วยความเข้าใจ

ในขณะเดียวกัน เรื่องค่าเงินบาท รัฐบาลควรส่งสัญญาณให้เอกชนทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมกับ ธปท. ดูแลต้นทุนของการป้องกันความเสี่ยง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight