การเคลื่อนไหวของเงินบาท ล่าสุดทะลุ 34 บาทต่อดอลลาร์ นับเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 ซึ่งประเมินว่าแนวโน้มจะยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เพราะตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.5-0.75% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะมีการประชุมอีก 6 ครั้ง และมีโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้งที่ประชุม เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกันยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงไปได้อีก แต่คาดว่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากภาคท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว
“ค่าเงินบาท” เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรนำมาพิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากการที่เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่า นั้นมีผลต่อยอดขาย ต้นทุน และกำไรสุทธิของธุรกิจ เพราะฉะนั้น เราจึงควรมองหาหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทในช่วงเวลานั้น
เงินบาทอ่อนค่า หุ้นส่งออกรับผลบวก
เมื่อค่าเงินบาทอ่อน กลุ่มแรกที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงทันทีก็คือ“หุ้นส่งออก” อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องมือการแพทย์ และอาหารแปรรูป เป็นต้น เนื่องจากจะมีผลบวกต่อกำไรจากการดำเนินธุรกิจ เพราะว่าโครงสร้างรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้าให้ต่างประเทศ ดังนั้น เมื่อค่าเงินบาทอ่อน บริษัทก็จะมีความสามารถทางการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อยอดขาย
ขณะเดียวกัน เวลาแปลงรายได้จากสกุลเงินดอลลาร์ กลับมาเป็นรูปแบบสกุลเงินบาทจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย เราสามารถสังเกตได้เลยว่า ธุรกิจเหล่านี้จะมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า
สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2565 ที่กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขยายตัว 19.5% คิดเป็นมูลค่ารวม 29,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 920,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออก
หากจำแนกดูตามหมวดสินค้า พบว่าการส่งออก หมวดสินค้าเกษตร ขยายตัว 3.3% มูลค่า 2,168 ล้านดอลลาร์ โดยมีสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว, ไก่แปรรูป และมันสำปะหลัง
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัว 27.7% มูลค่ารวม 2,163 ล้านดอลลาร์ สินค้าสำคัญคือ น้ำมันพืช, น้ำตาลทราย, อาหารสัตว์เลี้ยง, เครื่องปรุงรส, อาหารทะเลกระป๋อง และอาหารทะเลแปรรูป
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 20.6% มูลค่า 23,634 ล้านดอลลาร์ มีรายการสำคัญ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, โทรสาร, โทรศัพท์, อัญมณีและเครื่องประดับ, คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์, สินค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน, แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องมือแพทย์
อย่างไรก็ดี เมื่อมีผู้ได้รับผลประโยชน์ อีกด้านก็ย่อมมีผู้เจอผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่าเช่นกัน อาทิ ธุรกิจที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมไปถึงธุรกิจที่ต้องมีการสั่งซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศในช่วงนี้ก็ต้องจ่ายในราคาที่แพงขึ้นด้วยเช่นกัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘จุรินทร์’ ปลื้ม! ส่งออกมี.ค.65 ยอดพุ่งกว่า 9 แสนล้านบาท สูงสุดรอบ 30 ปี
- ยอดส่งออกรถยนต์ มี.ค.65 ลดลง 10.21% ขณะที่ยอดขายในประเทศพุ่ง 9.14%
- สะเทือนทั้งโลก! อินโดนีเซียระงับส่งออก ‘น้ำมันปาล์ม’ จ่อดัน ‘ราคาน้ำมันพืช’ พุ่งแรง