แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันจะเป็นขาขึ้นมาสักพัก โดยเฉพาะราคาขายปลีกหน้าปั๊มที่แพงขึ้นกว่าเท่าตัว ซึ่งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ไปแล้วจากการที่ราคาน้ำปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มปิโตรเคมีที่สต๊อกน้ำมันไว้ รวมถึงกลุ่มต้นน้ำอย่างการสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ที่ราคาเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร (Cyclical) ซึ่งการปรับตัวขึ้นลงของราคาจะเป็นรอบๆ ทำให้เมื่อราคาเป็นขาขึ้น หรือแพงขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว สักพักก็จะเข้าสู่ช่วงปรับลดลง
มีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่เราเรียกกันว่า “Anti-oil” คือ เป็นหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ และฟื้นตัวดีขึ้น หากราคาน้ำมันปรับลดลง ซึ่งเร็วๆ นี้ก็มีปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบอยู่หลายประการ เช่น การปรับลดลงจากอุปทานที่มากขึ้น สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในสหรัฐ และราคาก๊าซที่ลดลง
บทวิเคราะห์ KS Research Strategy (หลักทรัพย์กสิกรไทย) มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti-oil แนะนำให้เพิ่มหุ้นกลุ่มนี้เข้ามาในพอร์ต เนื่องจากช่วงที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ฉุดให้กำไรของผู้เล่นกลุ่ม Anti-oil ลดลง แต่เชื่อว่าทั้งหมดได้สะท้อนผลกระทบเชิงลบไปหมดแล้ว ดังนั้น ต่อจากนี้น่าจะเป็นการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มนี้ โดยมี 4 ประเด็น สำคัญที่ต้องจับตามอง ประกอบด้วย
- ข้อตกลงเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEX+
- การพูดคุยเรื่องนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน
- ราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
- การเปิดเศรษฐกิจและปริมาณจราจรทางอากาศที่ฟื้นตัวขึ้น
พร้อมทั้งแนะนำหุ้น 3 ตัวในธีม Anti-oil ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุด ได้แก่ หุ้น BCG หุ้น EPG และ หุ้น BGRIM
1. BGC – บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน)
บริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหาร และยา จากแผนบริษัทล่าสุดที่จะลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงาน กลับมาเน้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์เต็มตัว ทำให้นักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อแผนนี้ของ BGC
เพราะการขายธุรกิจพลังงานจะช่วยปลดล็อกทรัพยากรของ BGC ให้มุ่งเน้นไปยังเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นไปเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (packaging solution) โดย BGC จะได้รับเงินสดประมาณ 608 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถนำไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้เติบโตได้รวดเร็วขึ้นจากการควบรวมกิจการ และคาดว่าจะปิดดีลได้ 1-2 รายการในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
2. EPG – บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ประกอบธุรกิจหลักโดยการลงทุนในธุรกิจแปรรูปพลาสติก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน-ความเย็น อุปกรณ์ชิ้นส่วนตกแต่งรถยนต์ และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งคาดว่าทิศทางการเติบในอนาคตของ EPG จะสดใสมากขึ้น เนื่องจากยอดขายของกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงอย่าง Aeroflex (ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อนและความเย็น) จะฟื้นตัวได้ดี จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในภูมิภาค
3.BGRIM – บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
ผู้นำในธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าการขยายกำลังการผลิตจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาวของ BGRIM
สำหรับ Upside ดังกล่าวจะมาจากดีลเข้าซื้อหุ้น 40.6% ใน PEB มูลค่า 3,200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย ข้อตกลงจะเสร็จภายในปี 2565 ดังนั้น จะหนุนประมาณการกำไรขึ้นอีก 2-3% ขณะเดียวกันบริษัทก็มีเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอเป็น 1,000 MW จากปัจจุบันที่ 553 MW
หุ้นกลุ่มนี้ถือว่าราคาค่อนข้าง laggard เมื่อเทียบกับตลาด และมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นกลุ่มที่ถูกจับตามองอีกครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นการเล่นกลุ่มพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน และมีตัวแปรหลากหลาย นักลงทุนจึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สรุปงบ 9 เดือน หุ้น OR เรื่องอะไรบ้างที่นักลงทุนต้องรู้
- เปิด ‘พอร์ตธุรกิจ’ ร้านอาหารของหุ้น OR
- ปตท. รุกกลุ่มธุรกิจใหม่ ‘Life Science’