ควรซื้อหุ้นตอนไหนดี เวลานี้เข้าได้หรือยัง คือ คำถามยอดฮิตของนักลงทุน แน่นอนว่าถ้ามองด้วยหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) มักจะบอกให้ไม่ต้องสนใจเรื่องจังหวะเวลามาก เพราะท้ายที่สุดตลาดหุ้นจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้เราเอง หากมีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยไปเรื่อยๆ
ความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว มองว่าเรื่องนี้เป็นจริงครึ่งหนึ่ง และใช้ได้แค่บางเวลากับบางตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องยาวนานเท่านั้น แต่กับบางตลาดที่ค่อนข้างผันผวน เลยจุดพีคแล้ว หรือกำลังเป็นเศรษฐกิจที่โตช้า อย่างเช่นตลาดหุ้นไทย จังหวะเวลาเป็นสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาอยู่เสมอ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย เคยเขียนในบทความบนเว็บไซต์ thaivi.org ว่า สิ่งที่ผมระวังมากเวลาจะซื้อหุ้นก็คือกลัวซื้อ “ผิดเวลา” แน่นอนภาวะตลาดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจที่จะซื้อหุ้น แต่มันก็มีส่วนที่ทำให้การตัดสินใจซื้อหุ้นรายตัวเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ซื้อหุ้นเดือนไหนดีที่สุด
วกกลับมาที่คำถามเริ่มต้น เมื่อเราเชื่อว่าจังหวะเวลา (Timing) เป็นสิ่งสำคัญของตลาดหุ้น แล้วซื้อหุ้นเดือนไหนละที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสวยงามมากที่สุด?
หากเราเชื่อในปรากฏการณ์ sell in may and go away ที่บอกว่าให้นักลงทุนขายหุ้นออกไปก่อนในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทขนาดใหญ่เริ่มทยอยจ่ายเงินปันผลประจำปี ทำให้ราคาหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลง และไตรมาส 2 ของทุกปี ก็มักเป็นไตรมาสที่ตัวเลขโดยรวมเศรษฐกิจต่ำกว่าไตรมาสอื่นๆ
หลังจากนั้นค่อยให้นักลงทุนกลับเข้ามาใหม่เมื่อตลาดหุ้นเริ่มเป็นขาขึ้น ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากบอกกันว่านั่นก็คือช่วงปลายปีตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งมักจะเป็นฤดุกาลที่ดีที่สุดของหลายๆ ธุรกิจ รวมถึงมีแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี SSF และ RMF จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะตัดสินใจลงทุนในตอนนี้
สถิติผลตอบแทนหุ้นไทย 10 ปี ย้อนหลัง
ตารางแสดงดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทย (SET RTI) รายเดือน ตั้งแต่ปี 2554 – สิงหาคม 2564 รวบรวมจากฐานข้อมูล SETSMART ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หากเรานำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ต่อ โดยเริ่มต้นซื้อหุ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงต้นเดือนเมษายนปีถัดไป และตัดสินใจขายก่อนเดือนพฤษภาคมทุกปี จะพบว่าดัชนี TRI ในเดือนเมษายนนั้น “เป็นบวก” ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้สร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจทีเดียวแก่นักลงทุนที่ยึดกลยุทธ์นี้
ในทางกลับกันหากนักลงทุนขายช้าไปแค่เดือนเดียว โดยตัดสินใจขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม จะพบว่าดัชนีผลตอบแทนรวม ติดลบถึง 6 ใน 10 ครั้ง แปลว่ามีโอกาสมากกว่าครึ่งที่จะขาดทุนจากการลงทุนแบบนี้ อย่างไรก็ดี นั่นคือข้อมูลสถิติ “อดีต” คงไม่สามารถการันตีผลตอบแทนใน “อนาคต” โลกการลงทุนไม่มีความแน่นอน ก่อนตัดสินใจทุกครั้งต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน และลงทุนด้วยเหตุผล
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ราคาน้ำมันแพงไม่หยุด! เลือกหุ้น PTTEP – PTTGC – SPRC เป็น ‘ท็อปพิค’
- ราคาน้ำมันยังแรง ปิดตลาดดีดอีก 1.05 ดอลล์ เหตุทั่วโลกยังอยู่ใน ‘ภาวะตึงตัว’
- จับตา! ‘ราคาน้ำมัน’ ส่อขาขึ้นยาว แนวโน้มราคาพุ่งถึง 100 ดอลล์