Stock - Finance

อนาคต ‘INTUCH’ หลังเปลี่ยนมือ ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น ‘GULF’

จากที่ก่อนหน้านี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประกาศทำ Tender Offer หุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ที่ราคา 65 บาทต่อหุ้น และครบกำหนดระยะเวลาเสนอซื้อแล้วเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา

สำหรับการทำ Tender Offer ดังกล่าว ทำให้ปัจจุบัน GULF มีสัดส่วนถือหุ้นใน INTUCH รวมทั้งสิ้น 42.25% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 แทนที่ SINGTEL บริษัทด้านโทรคมนาคมใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ของกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งถือหุ้น INTUCH ที่สัดส่วน 21%

คำถามก็คืออนาคตของ INTUCH หลังมีการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่รอบนี้ จะเดินหน้าไปทางไหน มีโอกาสและปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนต้องจับตา และเราสามารถคาดหวังการเติบโตของราคาหุ้นรอบใหม่จากมิติไหนได้บ้าง ลองมาดูกัน?

intuch thumb.png1 e1629045616927

 

ก่อนอื่นย้อนกลับไปช่วงปี 2549 INTUCH เคยเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้มาแล้ว เมื่อ “ตระกูลชินวัตร” ตัดสินใจขายหุ้นชินคอร์ป (ชื่อเดิมก่อนเปลี่ยนมาเป็น INTUCH) ทั้งหมดให้กลุ่มเทมาเส็ก ด้วยมูลค่า 73,271 ล้านบาท นับเป็นการซื้อขายหุ้นที่มีมูลค่ารวมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนั้น

การเข้ามาของเทมาเส็ก ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจมากมาย โดยหันมาเน้นลงทุนในธุรกิจด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และขายบริษัทลูกบางแห่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับ core-business ออกไป อย่างเช่นหุ้นสายการบินไทยแอร์เอเชีย เป็นต้น

ภายใต้การบริหารของกลุ่มเทมาเส็ก ทำให้ INTUCH เป็นโฮลดิ้งคอมพานี ที่เติบโตอย่างมาก โดยระหว่างปี 2550-2556 ราคาหุ้นเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง วิ่งจาก 16 บาทขึ้นไปทำ all time high ที่ระดับ 97.25 บาท แต่แล้วราคาหุ้นก็เต็มมูลค่า ค่อยๆ ไหลลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 50-60 บาทมานานหลายปีแล้ว

INTUCH ภายใต้การนำของ GULF

GULF เริ่มเข้ามาขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ INTUCH ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 4.59% ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ถือว่าสร้างความฮือฮาในตอนนั้นทีเดียว เพราะธุรกิจหลักของ GULF คือโรงไฟฟ้า ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อสารเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ดี “นายสารัชถ์ รัตนาวะดี” ผู้บริหารของ GULF ให้เหตุผลว่า ต้องการบริหารเงินที่มีอยู่ ลงทุนรับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเปิดฉากทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเรื่อยๆ กระทั่งมีการตั้งโต๊ะซื้อหุ้นทั้งหมดนั่นเอง

สิ่งที่น่าสนใจก็คือความเคลื่อนไหวของหุ้น INTUCH ตั้งแต่วัน 4-13 สิงหาคม 2564 ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว 16.40% อีกทั้งยังวิ่งทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 70 บาท ได้สำเร็จนับตั้งแต่ปี 2558 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เชื่อว่าการร่วมถือหุ้นระหว่างผู้นำธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานไทย (GULF) และผู้นำธุรกิจโทรคมนาคมในสิงคโปร์ (SINGTEL) จะสร้างผลบวกต่อธุรกิจของ INTUCH แน่นอน แม้ว่าจากการ analyst meeting รอบล่าสุดผู้บริหารยังไม่สามารถประเมินผลกระทบจากการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ได้

intuch1 e1629045136669

แต่ยืนยันว่ากลยุทธ์หลักยังเน้นเติบโตจากการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยี และหาธุรกิจ New S-curve ใหม่ๆ เช่น Healthtech และ Edtech ทั้งนี้ ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น INTUCH ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ระดับ 70 บาท/หุ้น ประเมินเงินปันผลที่ 4% ต่อปี

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ประเมินว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นระยะสั้น โดยมีโอกาสจ่ายเงินปันผลได้มากขึ้น จากการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์ คาดว่าปี 2964 อัตราการจ่ายปันผลจะอยู่ที่ 4.10% ส่วนปี 2565 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.10% ยังคงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น INTUCH ราคาเป้าหมายเดิมที่ 67.50 บาท

นอกเหนือจากประเด็นบวกแล้ว ในอีกด้านก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน นั่นคือสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่ลดลง เพราะหากมี Free Float ที่ต่ำจนเกินไป ก็มีโอกาสที่ INTUCH จะถูกถอดออกจากการคำนวณดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก เช่น MSCI, FTSE ซึ่งย่อมมีผลต่อการถูกปรับน้ำหนักลงทุนจากกองทุนรวม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน