“ทรัมป์” กลับมา! หาโอกาสลงทุนอย่างไรดี? หุ้นไทยได้ประโยชน์นโยบาย ทรัมป์ หรือไม่
ผลเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2024 Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) จากพรรค Republican เอาชนะ Kamala Harris (กมลา แฮร์ริส) จากพรรค Democratic เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 ได้สำเร็จ ถือเป็นการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวรอบที่สองของ ทรัมป์ และยังเป็นการชนะแบบเบ็ดเสร็จทั้งภาล่างและสภาบน คือครองเสียงในวุฒิสภาสหรัฐ และสภาผู้แทนราษฎร
คำถามคือการกลับรอบนี้ของ ‘ทรัมป์’ จะส่งผลดีหรือผลเสียอะไรกับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ตลอดจนแนวโน้มความเคลื่อนไหวในโลกการลงทุนบ้าง โดยเฉพาะในช่วง 100 วันแรกที่คาดว่าจะเห็นนโยบายเร่งด่วนหลายๆ ตัว เช่น การปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการกีดกันแรงงานอพยพ และการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลในประเทศ เป็นต้น
Election Rally ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐ
ข้อมูลจาก Finnomena Funds ระบุว่าในอดีตที่ผ่านมาในช่วงของการเลือกตั้งสหรัฐ หุ้นดัชนี S&P 500 จะผันผวนช่วงสั้นๆ สะท้อนจากการเคลื่อนไหวของ VIX (Volatility Index) ที่สูงของปี 2020, 2016, 2012, 2008, และ 2004 ทว่าหลังจากนั้นหุ้นสหรัฐ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดีในระยะยาว โดยพบว่าค่าเฉลี่ยของปีที่มีการเลือกตั้ง S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% หลังจากนั้นราว 260 วัน
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ชี้ว่า Election Rally ทำให้ผลตอบแทน 1 ปีหลังจากนั้นของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 13% Nasdaq อยู่ที่ 19% และ Russell 2000 อยู่ที่ 15% โดยจะเห็นว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใน 11 ครั้ง ล้วนสร้าง Honeymoon period ในตลาดหุ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจ การปฏิรูป หรือมาตรการใหม่ๆ จากรัฐบาลที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมักจะมีแนวโน้มขาขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่อาจเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ
หุ้นไทยได้ประโยชน์นโยบาย ทรัมป์
จากมุมมองของ บล.กรุงศรี ชัยชนะของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ซึ่งครองสภาบนและสภาล่าง (Red wave) จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นและการลงทุนในสหรัฐฯ รับนโยบาย American First แต่หุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวนสูงขึ้นในระยะสั้น จากแผนจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 60% และเพิ่มภาษีเป็น 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ประกอบกับมีแผนลดอัตราภาษีของภาคธุรกิจและขยายมาตรการลดภาษีที่ได้เริ่มในปี 2560 ที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า จนส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่
แต่หากมองในระยะกลาง-ยาว (Mid-Long term Strategy) แนะนำใช้จังหวะนี้สะสมหุ้นใน SET Index หากมีการปรับตัวลง เพราะจากสถิติในอดีต SET Index มักผันผวนก่อนที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในช่วง 1-2 เดือนหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
อีกทั้งเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนน้อยกว่าหุ้น Emerging Markets อื่นๆ เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีนกับสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% บวกกับนโยบายการเมืองระหว่างประเทศของไทยที่เป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เป็นภาพ Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังเร่งตัวขึ้น
กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับประโยชน์จาก ทรัมป์ 2.0 ได้แก่
1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA และ WHA จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย
2. กลุ่มพลังงาน เช่น PTT, PTTEP
3. กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU, CPF, STA และ STGT ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าสมมติฐานเดิม ได้ประโยชน์จากการโยก Order และประโยชน์จากนโยบายลด Corporate Tax
4. กลุ่ม Domestic อาทิ กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK,KTB) ค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO) สื่อสาร (ADVANC) Utilities (GULF, GPSC)
สรุปแล้วจะเห็นว่านโบายสำคัญของทรัมป์ที่น่าจับตามองจะไปอยู่แถวๆ การเพิ่มภาษีการค้าระหว่างประเทศ การช่วยเหลือธุรกิจในสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน นอกจากนี้ ยังต้องติตามทิศทางค่าเงินบาท อาจส่งผลสำคัญต่อการปรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หวนคืนทำเนียบขาว สะเทือน ‘ค่าเงินเอเชีย’ ชี้ ‘วอน-หยวน-บาท’ เจอหนักสุด
- ‘ทรัมป์’ ตั้ง ‘อีลอน มัสก์-วิเวก รามาสวามี’ คุมกระทรวงใหม่ เสริมประสิทธิภาพรัฐบาล
- เตือน ‘อาเซียน’ เจอแรงกดดันหนัก หาก ‘ทรัมป์-จีน’ เปิดศึกรอบใหม่
ติดตามเราได้ที่
เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X: https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg