นักวิเคราะห์มอง CKP เชื่อว่าโครงการหลวงพระบาง จะเป็นตัวกระตุ้นราคาหุ้นทั้งในระยะสั้น และเป็นอัพไซด์ ที่ต่อเนื่องไปในระยะยาว
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ราคาหุ้น CKP หรือ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ค่อนข้าง Underperform ตลาด แม้ว่าผลประกอบการปี 2565 จะทำกำไรทุบสถิติสูงสุดของบริษัท เติบโตแตะ 2,436 ล้านบาท แต่เหตุผลที่ราคาหุ้นปรับตัวลง คาดมาจากการ take profit หลังข่าวดีลงนามบันทึกความเข้าใจการซื้อขายไฟฟ้าของโครงการหลวงพระบาง รวมถึงผ่านช่วงพีคของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่สนใจพื้นฐานธุรกิจของ CKP มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะสะสมหุ้นได้ เพราะมีโอกาสที่ราคาจะกลับมา Outperform ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ขณะเดียวกันจะได้แรงกระตุ้นระยะสั้น จากการลงนามสัญญาสุดท้ายของโครงการหลวงพระบาง คาดว่าจะเสร็จในเดือนนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาด้านสินเชื่อ
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า จากการเข้าประชุมนักวิเคราะห์กับ CKP ครั้งล่าสุด ทำให้เชื่อว่าโครงการหลวงพระบาง จะเป็นตัวกระตุ้นราคาหุ้นทั้งในระยะสั้น และเป็นอัพไซด์ที่ต่อเนื่องไปในระยะยาว โดย CKP จะต้องใช้เงินจำนวน 17,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนโครงการนี้ แต่จะทยอยจ่ายไปตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง 7 ปี และน่าจะได้รับเงินทุนจากการออกหุ้นกู้เป็นจำนวน 2,500 ล้านบาทต่อปี
คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากโครงการหลวงพระบาง จะเริ่มเข้ามาในปี 2673 มูลค่ารวมประมาณ 1,400 ล้านบาท ทำให้มีอัพไซด์ต่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นที่ 2.84 บาทต่อหุ้น แต่บทวิเคราะห์ยังไม่ได้รวมโครงการนี้ไว้ในประมาณการรายได้และราคาเป้าหมาย ปัจจุบันมองว่าราคาหุ้น CKP ค่อนข้างถูก จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 6.50 บาท
รายละเอียดของโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง ตั้งอยู่บนแม่น้ําโขง ในพื้นที่แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-River) ที่ไม่มีที่กักเก็บน้ำ แต่ใช้การไหลของน้ำตามธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า กําลังการผลิตติดตั้งรวม 1,460 เมกะวัตต์ อายุสัมปทาน 35 ปี และมีกําหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ในวันที่ 1 มกราคม 2573 โดย กฟผ.จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด 100% ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยราว 2.4030 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
CKP ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางที่สัดส่วน 50% คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนราว 730 เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น หากโครงการแล้วเสร็จ ถือว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส คาดผลการดําเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 จะยังทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับในงวดไตรมาส 4/2565 หรืออาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล และภายใต้การประกาศความ
พร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ในไตรมาสแรกที่ลดลงมาอยู่ราว 320 จาก 367 กิกะวัตต์ชั่วโมง เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ที่ปริมาณน้ำเริ่มปรับตัวลดลง โดยเดือนมกราคม 2566 ปริมาณน้ำไหลผ่านเพียง 2,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ปิดท้ายกันที่ความเห็นของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ทิศทางกำไรไตรมาส 1/2566 เป็นไตรมาสที่กำไรต่ำสุดในรอบปีของ CKP ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนทราบกันอยู่แล้ว เพราะเป็น low season ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ อย่างไรก็ตาม คิดว่าปัจจัยลบจะถูกชดเชยไปได้บางส่วนจากการที่ SG&A กลับมาอยู่ระดับปกติ และมีการขึ้นค่า Ft ของ BIC อีก 0.61 บาท/kWh
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” CKP ด้วยราคาเป้าหมาย 5.60 บาท เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาเป็นเพราะภาวะตลาดหุ้นโดยรวมอ่อนแอ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐาน CKP ไม่เปลี่ยน จึงยังมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุน ซึ่งมี reward-risk น่าสนใจในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า ตามปกติแล้วราคาหุ้น CKP จะต่ำสุดในช่วงไตรมาสแรก ก่อนที่จะวิ่งกลับขึ้นไปโดยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนมากว่า 25% เป็นระดับที่น่าสนใจมากพอที่จะรับความเสี่ยง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ซีเค พาวเวอร์’ ทำไมกำไรพีค!
- ‘CKPower’ สร้างสถิติใหม่ ผลประกอบการปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ‘CKPower’ ตอกย้ำผู้นำโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ผ่านมาตรฐานระดับโลก ISO มุ่งสู่อนาคต ‘พลังงานสะอาด’