จบลงไปแล้วสำหรับอีกหนึ่งเวทีของสตาร์ทอัพอย่าง “D-NEXT Demo Day 2018” ของกลุ่มปตท. ร่วมกับ ไรส์ สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรและสตาร์ทอัพระดับภูมิภาค (ภายใต้โครงการ D-NEXT by PTT Digital x RISE)โดยในงานวันนี้ เป็นการแสดงผลงานโปรโตไทป์ของสตาร์ทอัพทั้ง 15 ทีมที่ผ่านเข้ารอบเป็นครั้งแรกหลังจากเข้า Bootcamp โดยผลงานจะต้องพัฒนาให้ตอบโจทย์ธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ทั้ง 7 ด้านได้แก่ ด้าน Energy & Utility Management, Operation & Maintenance, Health & Environment, Data Management & Analytics และธุรกิจอื่น ๆ อาทิ HR เป็นต้น มากไปกว่านั้น เวที Demo Day นี้ยังเป็นเวทีที่สตาร์ทอัพต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจร่วมกับกลุ่ม ปตท. เพื่อสร้าง New S-Curve ด้วย
สำหรับสตาร์ทอัพทั้ง 15 ทีมที่มาร่วมแสดงผลงานในวันนี้ ประกอบด้วย
- EverComm สตาร์ทอัพด้าน IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากสิงคโปร์ที่มองหาโซลูชันที่ทำงานร่วมกันทั้ง IoT, BigData, Machine Learning เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการสินทรัพย์ต่าง ๆ ของธุรกิจให้ประหยัดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนการใช้แรงงานคนที่อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ในการประมวลผล
- UpUpApp สตาร์ทอัพด้านงานทรัพยากรบุคคลจากเวียดนาม ที่จะนำเกมต่าง ๆ เข้ามาช่วยบริหารจัดการเรื่อง KPI และการให้รางวัลพนักงาน ทำให้ทีมบริหารมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับธุรกิจ
- StoneLab สตาร์ทอัปสัญชาติไทยที่มาพร้อมผลงานชื่อ SystemStone ระบบบริหารจัดการการซ่อมบำรุงเครื่องมือในโรงงานผ่านทางมือถือ ที่สามารถเก็บประวัติการทำงานได้โดยอัตโนมัติ หรือเมื่อมีเหตุขัดข้องก็สามารถแจ้งวิศวกรได้ผ่านแอพพลิเคชันทันที ปัจจุบันมีลูกค้าแล้วถึง 1,250 ราย
- SalesCandy สตาร์ทอัพด้าน CRM จากมาเลเซียที่บอกว่าสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย โดยผู้ก่อตั้งระบุว่าเหมาะสำหรับกลุ่มเอนเทอร์ไพรส์ หรือแม้แต่ SME ก็ใช้งานได้ และมีการนำบิ๊กดาต้า และแมชชีนเลิร์นนิ่งเข้ามาปรับใช้ รวมถึงเคยได้รับการลงทุนมาแล้วหลายครั้ง
- Classwin แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการเรียนรู้จากทีมพัฒนาสัญชาติไทยที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาต่าง ๆ ได้เอง ตอนนี้ทาง ปตท. เองก็ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวกับการอบรมพนักงานด้วยเช่นกัน และทางระบบจะแบ่งกำไรส่วนหนึ่งไปสร้างคอนเทนต์เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก ๆ ด้วย
- Onewatt สตาร์ทอัพจากฟิลิปปินส์หนึ่งเดียวบนเวทีแห่งนี้ กับผลงานโซลูชันด้าน IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่นำปัญญาประดิษฐ์ชื่อ E.A.R.S. (Embedded Acoustic Recognition Sensors) เข้ามาใช้ในการตรวจจับความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ภายในโรงงาน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับธุรกิจในกรณีที่ระบบหยุดทำงาน
- HitKey เป็นคีย์บอร์ดอัจฉริยะผลงานการพัฒนาของสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ที่นำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งาน และพบว่าในประเทศไทยมีการนำแอพพลิเคชันแชทอย่างไลน์ – แมนเซนเจอร์เข้ามาใช้ในการทำงานอย่างมาก Hitkey สามารถดึงงานจากระบบออกไปอนุมัติกันบนแพลตฟอร์มแชทได้ไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม
- TrackerHero สตาร์ทอัพด้าน IoT จากมาเลเซียผู้พัฒนาแพลตฟอร์มแรงงานและระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อให้ธุรกิจเหล่านั้นมีความปลอดภัยมากขึ้น
- glueck สตาร์ทอัพจากมาเลเซีย ที่นำเทคโนโลยีเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาช่วยโฆษณานอกบ้าน (Out of Home : OOH) ที่สามารถได้ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ช่วยนับจำนวนรถยนต์ที่ผ่านไปมาในระยะเวลาหนึ่ง ฯลฯ
- NPCore สตาร์ทอัพด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จากเกาหลีใต้ สำหรับป้องกันการโจมตีในรูปแบบต่าง ๆ ปัจจุบันมีการใช้งานแล้วในหน่วยงานราชการ, สถาบันการเงิน, มหาวิทยาลัย และบริษัทขนาดใหญ่
- Wisepass แพลตฟอร์มด้านไลฟ์สไตล์จากเวียดนามที่นำแมชชีนเลิร์นนิ่งมาใช้ในการแนะนำสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ของระบบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงภาพยนตร์ กาแฟ ร้านอาหารต่าง ๆ ด้วย
- Synaptik สตาร์ทอัพจากสหรัฐอเมริกาที่ออกมาบอกว่าทุกวันนี้ผู้คนคือแหล่งผลิตข้อมูลชั้นดี ในแต่ละปีคนเรามีการสร้างข้อมูลดิจิทัลถึง 1.7 เมกะไบต์หรือหากคิดคนทั้งโลกรวมถึงก็คือ 11,900 เทราไบต์ต่อวินาที การเพิ่มขึ้นของดาต้าคือสิ่งที่ Synaptik จะเข้ามาช่วยจัดการ
- HelloGold สตาร์ทอัพด้านฟินเทคจากมาเลเซีย สำหรับนำเสนอทองให้กับผู้ใช้งานได้เข้ามาซื้อกัน ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 23,000 ราย และกำลังขยายแอพพลิเคชันมาในตลาดไทย
- EcoWorth สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ผู้พัฒนาโซลูชัน CleanTech เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
- Barghest Building Performance (BBP) สตาร์ทอัพด้านการวิเคราะห์พลังงาน (Energy Analytics) จากสิงคโปร์กับผลงานที่ช่วยประหยัดพลังงานให้กับพื้นที่อุตสาหกรรม
สำหรับรางวัลใหญ่สองรางวัลจากเวทีนี้ตกเป็นของทีม UpUpApp (Fan Favorite Award) และทีม BBP รับรางวัล D-Next Award หรือรางวัลชนะเลิศจากเวทีนี้ไปในที่สุด
