ไทย จับมือ สหรัฐ เล็งตั้ง ‘ศูนย์กลางการวิจัย’ ในไทย ยกระดับป้องกันโรค พร้อมขยายงานวิจัยสู่ภูมิภาคอาเซียน
วันนี้ (7 มิ.ย. 65) นายเเพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายเเพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายเเพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป เเละผู้เเทนสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ
หารือร่วมกับคณะผู้บริหารจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) นำโดย Dr. Deb Houry รักษาการรองผู้อำนวยการ CDC ในเรื่องยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคที่จะดำเนินการและการจัดตั้ง Research hub ในประเทศไทยเพื่อรองรับการขยายผลใช้ประโยชน์งานวิจัย ตลอดจนยกระดับการป้องกันโรคทั้งในระดับประเทศเเละภูมิภาค หลังเคยหารือไว้ก่อนหน้านี้
ศูนย์กลางการวิจัย ในไทย พัฒนาความร่วมมือภายในภูมิภาค
นายเเพทย์โอภาส กล่าวว่า กรมควบคุมโรคเเละ US CDC มีความร่วมมือเป็นเวลานานกว่า 4 ทศวรรษ ภายหลังการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ เเละการเพิ่มขึ้นของภัยสุขภาพ ทาง US CDC ได้พัฒนายุทธศาสตร์ด้านการวิจัยเเละต่อยอดมากขึ้น โดยเล็งตั้ง ‘ศูนย์กลางการวิจัย’ ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาความร่วมมือภายในภูมิภาค และนำผลการวิจัยไปต่อยอดตามประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน
ในโอกาสที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ ในการจัดตั้ง สำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ACPHEED) ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย จะเป็นศูนย์กลางด้านการป้องกันการตรวจจับในภูมิภาค
US CDC ยินดีสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญด้านการดื้อยาของเชื้อจุลชีพ การพัฒนากำลังคน และการทำงานด้วย แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) พร้อมเชื่อมโยงกับการดำเนินงาน วาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก (Global Health Security Agenda : GHSA) ที่ไทยเป็นประธานในปีที่ผ่านมา และปัจจุบันเป็นคณะกรรมการถาวร ทำให้มีโอกาสร่วมผลักดันนโยบายความมั่นคงทางสุขภาพในระดับโลก
นายเเพทย์โอภาส กล่าวว่า ที่ผ่านมา US CDC ได้สนับสนุนเทคนิค เเละแหล่งทุนในโครงการสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะโครงการพัฒนากำลังคนด้านระบาดวิทยาภาคสนาม (FETP) ที่ได้พัฒนาและขยายเครือข่าย ทั้งในและนอกประเทศมาตลอด 42 ปี มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญรวมกว่า 200 คน สะท้อนขีดความสามารถของประเทศด้านป้องกัน ควบคุมและตอบโต้โรคและภัยสุขภาพ เห็นได้จากความสำเร็จของประเทศไทยในการจัดการกับการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ได้สำเร็จจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- แพทย์ผิวหนัง ชี้ความแตกต่าง ‘รอยโรค’ ฝีดาษลิง กับโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสอื่น ๆ
- WHO ส่งสัญญาณอันตราย ‘ฝีดาษ ลิง’ ระบาดนอกแอฟริการวดเร็ว ไวรัสเปลี่ยนไป
- WHO ย้ำ ‘ฝี ดาษลิง’ ไม่ใช่ไวรัส ที่ติดต่อทาง ‘เพศสัมพันธ์’