พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของประเทศไทย นับเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี
พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียว ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงแต่งตั้งพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสยามมกุฎราชกุมารในปี 2515 เวลานั้นมีพระชนม์ 20 พรรษา ครั้นพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 มีการคาดการณ์ว่า พระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อทันที แต่ทรงผัดผ่อนไปก่อน เพื่อให้เวลาผู้คนไว้อาลัยพระราชบิดา
กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม 2559 จึงทรงรับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์ และทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชบิดาในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์จัดขึ้นในวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 แต่รัฐบาลไทยให้นับรัชสมัยของพระองค์ย้อนหลังไปถึงวันสวรรคตของพระราชบิดา เนื่องด้วยพระชนม์ 64 พรรษาในเวลานั้น พระองค์จึงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระชนม์สูงที่สุดในวันครองราชย์
นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ที่ประเทศไทย ต้องเผชิญกับการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 อย่างใกล้ชิด ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทรงมีพระราชดำริให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมผู้เชี่ยวชาญ สร้างห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ เพื่อออกไปตรวจวิเคราะห์ผลนอกโรงพยาบาล หรือหน่วยงานได้
เมื่อดำเนินการสำเร็จลุล่วง จึงได้มีการพระราชทาน “รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย” และ “รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ” ต้นแบบ ใช้ปฏิบัติงานควบคู่กัน เพื่อค้นหาเชิงรุกแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่ ทราบผลที่รวดเร็ว เพื่อให้ปวงชนรอดพ้นจากโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระบรมราโชบาย ในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุม และยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ในการนี้ พระราชทานเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานการณ์นี้คลี่คลายโดยเร็ว ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขอีกครั้ง
พระองค์พระราชทานเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รวมทั้งสิ้น 36 คัน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ จำนวน 5 คัน รถเอกซเรย์ระบบดิจิทัล จำนวน 2 คัน รวมทั้งรถต่อพ่วงชีวนิรภัย จำนวน 6 คัน เพื่อปฏิบัติงานเชิงรุกภาคสนามในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
พระราชทานทรัพย์เพื่อสมทบทุน และจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด
- พระราชทานทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช
- พระราชทานทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 27 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์
- พระราชทานทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่เรือนจำ ทัณฑสภาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ ๔๔ แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใย และทรงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละกำลังกาย และอุทิศตน ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาหารปรุงสุกใหม่ แก่บุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
อาหารพระราชทานนั้น มีบางส่วนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบอาหารพระราชทานด้วยพระองค์เอง ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีส่วนประกอบของสมุนไพรไทยที่ช่วยบำรุงร่างกาย และต่อต้านโรคโควิด 19 ได้แก่ กระชาย เป็นส่วนประกอบสำคัญในการประกอบอาหาร เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ให้มีสุขภาพแข็งแรง และสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ในหลวง-พระราชินี’ พระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย-รถต่อพ่วงชีวนิรภัย
- ‘ในหลวง-พระราชินี’ พระราชทานเครื่องช่วยหายใจชนิดอัตราไหลสูง’ แก่ ‘รพ.ภูมิพล-กทม.’
- ‘ในหลวง’ ทรงประกอบอาหาร พระราชทานแก่ บุคลากรแพทย์ รพ.สนาม-รพ.ต่าง ๆ