ระวัง! โควิด B.1.641 สายพันธุ์ดั้งเดิม จะกลับมาระบาด หลังพบการแพร่เชื้อจากกวางสู่คน
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า พบไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม แพร่เชื้อจากกาวางสู่คน โดยไวรัสดังกล่าวได้หลบไประบาดในกวางระยะหนึ่ง ก่อนกลับมาแพร่สู่คน
โควิดคลื่นลูกใหม่กลายพันธุ์ที่กำลังก่อตัวจะระบาดไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันพบการระบาดโควิดจากคนสู่สัตว์ (กวาง) และแพร่กลับมาสู่คน
บ่งชี้ว่าไม่ง่ายที่จะควบคุมหรือยุติการระบาดของโควิด เนื่องจากไวรัสสามารถหลบในสัตว์ที่เป็นรังโรค (Reservoir)ได้ คงต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน
ซุปโอไมครอนระบาดไปทั่วโลก
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่จากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยสมาชิกในกลุ่มซุปโอไมครอน ซึ่งมีการกลายพันธุ์แตกต่างกันไป เช่น BQ.1, BR.2.75, XBB ฯลฯ
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่ตรวจพบในประเทศไทย หลังจาก BA.5 เริ่มอ่อนกำลังการระบาดลงด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม และนำแชร์ข้อมูลบนฐานข้อมูลโควิดโลก “กิสเสด (GISAID)” คือ
- BA.5* (BA.5.X) จำนวน 2,449 ราย
- BA.2.75 จำนวน 90 ราย
- XBB จำนวน 5 ราย และ XBB.1 จำนวน 4 ราย
- BN.1 จำนวน 5 ราย
- BF.7 จำนวน 2 ราย
- BQ.1 จำนวน 1 ราย
- BQ.1.10 จำนวน 2 ราย
โดยยังไม่พบสายพันธุ์ลูกผสม XBC บนฐานข้อมูลโควิดโลก “กิสเสด” ในขณะนี้ (18/11/2565)
ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาทั่วโลกสังเกตพบการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกันไปในแต่ละทวีป โดยการกลายพันธุ์ส่วนหนามบางตำแหน่งกลับมาเหมือนกัน เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันในมนุษย์จากการฉีดวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อใช้ยึดเกาะกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้นซึ่งเรียกการวิวฒนาการแบบนี้ว่าการวิวัฒนาการที่มาบรรจบกัน (convergent evolution)
การวิวัฒนาการในลักษณะกลับมาบรรจบกันที่ชัดเจน คือการวิวัฒนาการของโครงสร้าง “ปีก” ของสัตว์ที่มีบรรพบุรุษต่างกันมา แต่มีคุณสมบัติเดียวกันคือช่วยให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเคลื่อนที่บนอากาศได้ เช่น ปีกของ นก ค้างคาว ไดโนเสาร์ และ ผีเสื้อ
โดยการวิวัฒนาการในลักษณะนี้ (convergent evolution) พบในส่วน “หนาม”ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น BQ.1.1, BA.2.3.20, BA.2.75.2, และ XBB เพื่อช่วยหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ และช่วยให้ยึดเกาะกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น
ทำให้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่เหล่านี้ สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ BA.5 ดั้งเดิมได้ดีขึ้น จนมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้เกิดการระบาดของ(โอไมครอน)คลื่นลูกใหม่ไปทั่วโลก
พบโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม ที่หลบไประบาดในกวาง แพร่กลับมาสู่คน
นอกจากนี้ทีมวิจัยแคนาดายังพบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.641 ซึ่งหลบไประบาดในกวางระยะหนึ่งและแพร่กลับมาสู่คน
โดยหน่วยงานสาธารณสุขของแคนาดา (PHAC) ยืนยันเหตุการณ์ดังกล่าว มีการตีพิมพ์รายละเอียดในวารสารการแพทย์ Nature (https://www.nature.com/articles/s41564-022-01268-9) เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2565
ไวรัสโคโรนา B.1. 641 ตรวจพบเมื่อปลายปี 2564 ในกวางหางขาว 5 ตัวจากการสุ่มสวอปจมูกกวางหางขาวไปทั้งสิ้น 300 ตัว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐออนแทรีโอในแคนาดาและในช่วงเวลาเดียวกันมีการตรวจพบไวรัสโคโรนาที่มีรหัสพันธุ์คล้ายคลึงกับสายพันธุ์ B.1.641 ประมาณ 80-90% ในผู้ติดเชื้อรายหนึ่ง คาดว่าติดมาจากการสัมผัสกวาง อันเป็นหลักฐานชิ้นแรกของการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาจากกวางกลับมาสู่คน
จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมพบว่าไวรัสโคโรนา B.1. 641 มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนาดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ถึง 76 ตำแหน่ง และมีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับสายพันธุ์ เบต้า ไอโอตา และเอปซิลอน ชี้ให้เห็นว่าไวรัสโคโรนา B.1.641 สามารถแพร่จากคนมาสู่กวางและแพร่หมุนเวียนและมีวิวัฒนาการในประชากรกวางเป็นเวลาหลายเดือน! โดยมีกวางทำหน้าที่เป็นรังโรค (Reservoir) ก่อนที่จะแพร่กลับมาติดผู้ติดเชื้อรายดังกล่าว
หมายเหตุ ไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ อัลฟา เบตา และเดลตามีการกลายพันธุ์ไปประมาณ 24 – 40 ตำแหน่ง ในขณะที่โอมิครอน BA.5 กลายพันธุ์ไปประมาณ 105 ตำแหน่ง ต่างจากไวรัสดั้งเดิม “อู่ฮั่น”
ข่าวดีคือผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบแอนติบอดีจากผู้ที่หายจาก COVID-19 หรือจากผู้ที่รับวัคซีนสองหรือสามโดส สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสโคโรนา B.1.641 (ที่ีแยกได้จากกวาง) ในหลอดทดลองได้ดี ทำให้เรายังไม่พบการระบาดในคนถัดจากผู้ติดเชื้อรายดังกล่าว
การระบาดในสัตว์ ก่อนกระโจนกลัมาติดมนุษย์ ทำให้ควบคุมลำบากขึ้น
ดังนั้นไวรัสโคโรนา 2019 ไม่เพียงแต่แพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนเท่านั้น ยังสามารถหลบเข้าไปเพิ่มจำนวนในสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เลี้ยงลูกด้วยนม ในลักษณะของโฮสต์ตัวกลาง (intermediate host) ก่อนกระโจนกลับมาติดมนุษย์ได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้การควบคุมหรือกำจัดไวรัสโคโรนา 2019 ยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะการควบคุมการระบาดไวรัสในสัตว์ไม่สามารถกระทำได้โดยง่ายเมื่อเทียบกับการควบคุมการระบาดในคน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ไฟเซอร์ เริ่มทดสอบเฟส 1 ‘วัคซีนแบบใหม่’ ไม่เน้นป้องกัน แต่ ‘ลดความรุนแรงของโรค’
- ผลทดสอบ ‘วัคซีนไฟเซอร์’ สูตรใหม่กระตุ้นภูมิ ยับยั้งไวรัสลูกหลาน BA.5 ได้ แต่ป้องกัน XBB ไม่ได้
- ปลัดสธ. แจง ‘ติดโควิดซ้ำ’ แต่ภูมิคุ้มกันจะลดเสี่ยง ‘อาการรุนแรง-เสียชีวิต’ แนะรับวัคซีนป้องกันติดเชื้อ