Politics

สธ.ยืนยัน ผลการศึกษา ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ รักษาโควิดได้ ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ทำให้การรุนแรงดีขึ้น

สธ.ยืนยัน ผลการศึกษา ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ รักษาโควิดได้ ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ การศึกษาต้องประเมินโดยแพทย์ ไม่ใช่ประเมินตามความรู้สึกผู้ป่วย

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เนื่องจากมีประเด็นการนำเสนอข้อมูลว่า การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ได้ผลในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยอ้างอิงจากการศึกษาวิจัยแบบหลายสถาบัน ( https://academic.oup.com/cid/advance-article/doi/10.1093/cid/ciac712/6692456?login=false ) จำนวน 40 แห่ง ในทวีปอเมริกาเหนือ (จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และบราซิล)

มีอาสาสมัครในโครงการวิจัย จำนวน 1,187 คน (เป็นผู้ป่วยอ้วน ร้อยละ 70 ผู้ป่วยสูงอายุ ร้อยละ 15) ซึ่งเป็นการใช้ฟาวิพิราเวียร์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม

ยาฟาวิพิราเวียร์

ใช้ยาโดยมิได้มีการปรับขนาดตามน้ำหนักตัวผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ได้ใช้ฟาวิพิราเวียร์ โดยมิได้มีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยเกือบทุกรายได้รับยาประมาณวันที่ 3 ภายหลังเริ่มมีอาการ ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเคยได้รับวัคซีน หรือเคยป่วยเป็นโควิด-19 มาก่อน รวมถึงการประเมินความรุนแรงของผู้ป่วยด้วยเกณฑ์ที่แตกต่างกับที่ใช้ในประเทศไทย

นอกจากนี้ การรายงานผลลัพธ์การรักษา ทำโดยผู้ป่วยเป็นผู้รายงานเองผ่านระบบโทรศัพท์ ซึ่งมิได้เป็นการวัดด้วยเครื่องมือเฉพาะโดยบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการวัดประสิทธิผลของยาฟาวิพิราเวียร์ได้

ยาฟาวิพิราเวียร์

ฟาวิพิราเวียร์ ทำให้อาการรุนแรงของโรคดีขึ้น

ในส่วนของประเทศไทยได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ฟาวิพิราเวียร์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ( https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/22221751.2022.2117092 ) โดยมีผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมดจำนวน 93 คน ในโรงพยาบาล 3 แห่ง (ทุกคนอายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว เป็นผู้ป่วยที่อ้วนร้อยละ 25) ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งได้รับฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีอาการ โดยไม่มีผู้ที่เคยเป็นโควิด-19 และ/หรือได้รับวัคซีนมาก่อน (ทุกคนมีอาการเล็กน้อยหรือปานกลาง ไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงในโครงการวิจัย)

ผู้ป่วยได้รับการรักษาและติดตามอาการในโรงพยาบาล รวมถึงการวัดประสิทธิผลของฟาวิพิราเวียร์โดยด้วยระบบ NEWS (ประกอบไปด้วยอัตราการหายใจ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด การให้ออกซิเจน อุณหภูมิ ความดันซิสโตลิก อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับความรู้สึกตัว) ซึ่งต้องประเมินโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ใช้การประเมินตามความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นเกณฑ์วัด

พบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ทำให้อาการรุนแรงของการประเมินด้วย NEWS ของผู้ป่วยโควิด-19 ดีขึ้นได้เร็วกว่ากลุ่มควบคุมอย่างชัดเจน (ครึ่งหนึ่งดีขึ้นใน 2 วัน เมื่อได้รับยาเปรียบเทียบกับ 14 วัน ในกลุ่มควบคุม)

ยาฟาวิพิราเวียร์

เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะรายละอียดและวิธีการศึกษาต่างกัน

ผลการศึกษาทั้งสองยังพบว่า ฟาวิพิราเวียร์มิได้ช่วยลดปริมาณไวรัสลง หรือทำให้ไวรัสหายไปได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด และไม่สามารถเห็นประสิทธิผลเมื่อประเมินอาการจากความรู้สึกผู้ป่วย เช่น อาการอ่อนเพลีย ไอ รวมถึงพบว่า ฟาวิพิราเวียร์มีความปลอดภัย แม้จะพบระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นแบบไม่มีอาการก็ตาม

เราไม่สามารถเปรียบเทียบประสิทธิผลของยาฟาวิพิsาเวียร์จาก 2 การศึกษานี้ได้ เนื่องจากรายละเอียดและวิธีการศึกษามีความแตกต่างกัน

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า การศึกษาในทวีปอเมริกาแสดงให้เห็นว่า การเริ่มให้ยาช้าในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง มีอาการรุนแรง และมีน้ำหนักมากโดยไม่มีการปรับขนาดยา อาจมีผลทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือเป็นเพราะการประเมินผล ซึ่งส่วนหนึ่งได้จากความรู้สึกอาการของผู้ป่วย อาจทำให้ผลการศึกษาไม่ตรงกัน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ฟาวิพิราเวียร์ทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงต่ำที่ไม่รุนแรง มีอาการดีขึ้นได้เร็วขึ้น แต่การศึกษาในประเทศไทยไม่มีข้อมูลประสิทธิผลของยาฟาวิพิsาเวียร์ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปอดบวม หรือลดการเสียชีวิต กรมการแพทย์ ยินดีรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ ความรู้เชิงประจักษ์ที่มีมากขึ้นจากการศึกษา จะช่วยในการปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo