ศูนย์จีโนมฯ เผย ‘โควิด’ BA.5 ติดเชื้อไม่มีอาการถึง 40% BA.2.75 ไม่สามารถแทนที่ได้ หรือนี่จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า การระบาดของโควิด ที่ปัจจุบันเป็นโอไมครอนสายพันธุ์ BA.5 ที่ระบาดอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่่นๆ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทย และทั่วโลก แต่กลับพบว่า มีผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการมากถึง 40% หรือเริ่มจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นั่นหมายถึงการระบาดของโควิดจะลดลง และกลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ข้อความดังนี้
BA.5 แต่ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการเยอะ BA.2.75 ไม่สามารถแทนที่ได้
เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงจากอาการในช่วง 6 เดือนของโอไมครอน “BA.5” แม้จะแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมี R-naught (R0) สูงถึง 18.6, แต่กลับพบผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการเกือบ 40%, มีอาการ “หายใจไม่อิ่ม” เพียง 12%, และภาวะ”ลองโควิด” ลดเหลือ 50%
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้นตั้งแต่เริ่มการระบาดใน ปี 2562/2019 จนถึง 2565/2022 ประมาณ 600 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 6.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 1 โดยขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศมีแนวโน้มที่เชื้อโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่สาธารณสุขของประเทศนั้นสามารถควบคุมการระบาดได้ หากไม่มีโควิดสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นมาแทนที่โอไมครอน BA.5 (ภาพ1)
โอไมครอน “BA.2.75” แม้จะมีการกลายพันธุ์ไปถึง 100 ตำแหน่งเมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสดั้งเดิม “หวู่ฮั่น” และกลายพันธุ์ไปมากกว่าโอไมครอน BA. 5 แต่ปรากฏว่าการแพร่ระบาดกลับเริ่มลดลง และไม่น่าจะเข้ามาแทนที่โอไมครอน BA. 5 ได้ (ภาพ2)
ข้อมูลจาก “เน็กซ์สเตรน/Nextstrain” (โครงการวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมของเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อช่วยให้เข้าใจระบาดวิทยา และวิวัฒนาการของไวรัสดังกล่าว ทำให้สามารถควบคุม ดูแล รักษาโรคติดเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ) พบว่ามีโอไมครอน 4 สายพันธุ์ย่อยที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกโดยมีโอไมครอน BA.5 ระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก รองลงมาคือ BA.4, BA.2.12.1 และ BA.2.75 ส่วนประเทศไทยพบไมครอน BA. 5 ถึง 88.14% เป็นสายพันธุ์หลัก (ภาพ3)
ไวรัสที่ติดต่อง่ายที่สุดอันดับ 1 ของโลก
โอไมครอน BA.5 เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกเหนือกว่าไวรัสหัด จากการคำนวณของ ศ. เอเดรียน เอสเทอร์แมน อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านชีวสถิติและระบาดวิทยาของ WHO ชาวออสเตรเลีย พบว่าโอไมครอน BA. 5 มี R-naught (R0) ถึง 18.6 ในขณะที่ไวรัสหัด มี R0 เพียง 16-18 (R0 = 18 หมายถึงความสามารถที่ไวรัสชนิดนั้นจะแพร่จากผู้ติดเชื้อ 1 คน ไปติดยังผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อและไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้ได้ถึง 18 คน) (ภาพ4)
สรุปอาการโอไมครอน
ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) และกรมอนามัยและการดูแลสังคมของอังกฤษ สรุปอาการของโอไมครอน “BA. 5”ไว้ดังนี้
- 61% ของผู้ติดเชื้อ BA. 5 จะแสดงอาการ (Symptomatic)
- 39% ของผู้ติดเชื้อ BA. 5 จะไม่แสดงอาการ (Asymptomatic)
- มีอาการรุนแรงน้อยกว่า BA.1/BA.2 และ เดลตา โดยไม่อาจสรุปได้ว่าเนื่องจากสายพันธุ์ย่อย BA. 5 มีการกลายพันธุ์ไปกว่า 90 ตำแหน่งต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม “หวู่ฮั่น” หรือเป็นเพราะภูมิคุ้มกันของประชากรที่เพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีน หรือจากทั้งสองประการ
- พบอาการหายใจไม่อิ่ม น้อยกว่า 12% น้อยกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดมาก่อนหน้า (ปอดถูกทำลายน้อยกว่า)
- มีปริมาณไวรัส (viral load) ในจมูกและลำคอน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้การตรวจ ATK มีผลเป็นลบเพิ่มขึ้น
- มีอาการลองโควิด (long covid) น้อยกว่าโดยเฉพาะที่มีผลกระทบต่อสมอง
- ดร.แคลร์ สตีฟส์ (Claire Steves) นักวิจัยอาวุโสทางคลินิกของคิงส์คอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่ามีโอกาสน้อยที่โอไมครอน BA. 5 จะก่อให้เกิดอาการลองโควิด แม้จะสังเกตพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอน BA. 5 จำนวน 1 ใน 25 คนจะยังคงแสดงอาการนานกว่า 4 สัปดาห์
สรุป 20 อาการโควิด-19 (ส่วนใหญ่เป็นโอไมครอน BA.5)
นอกจากนี้ได้มีการสรุปอาการของผู้ติดเชื้อโอไมครอน “BA. 5” โดยอาศัยข้อมูลจากโครงการ “ZOE COVID Study Application” (https://health-study.joinzoe.com/) ซึ่งประชาชนชาวอังกฤษจำนวนมากกว่า 800,000 คน ได้ร่วมกันกรอกข้อมูลอาการทางคลินิกของผู้ติดเชื้อแต่ละคนผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ โดยโครงการนี้หน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) และกรมอนามัยและการดูแลสังคมของอังกฤษ ได้ให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงาน
สรุป 20 อาการโควิด-19 (ส่วนใหญ่เป็นโอไมครอน BA. 5)
- เจ็บคอ 63%
- ปวดหัว 51%
- จมูกอุดตัน 48%
- ไอไม่มีเสมหะ 46%
- น้ำมูกไหล 45%
- ไอมีเสมหะ 44%
- เสียงแหบ 44%
- จาม 39%
- ความเหนื่อยล้า 29%
- ปวดกล้ามเนื้อ 28%
- เวียนหัว 23%
- กลิ่นที่เปลี่ยนไป 17%
- ต่อมคอบวม 16%
- เจ็บตา 16%
- เจ็บหน้าอก/แน่น 14%
- ไข้ 13%
- สูญเสียกลิ่น 13%
- เกิดอาการหายใจไม่อิ่มเพียง 12% (shortness of breath เป็นการหายใจเป็นช่วงสั้นๆ หายใจถี่ ไม่สามารถหายใจเข้าลึกๆ ตามปกติ) ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสที่ต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. ลดลงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่ระบาดมาก่อนหน้า
- ปวดหู 12%
- ร้อนวูบวาบ 11%
อาการลองโควิด
อาการลองโควิดสามารถแบ่งออกได้ 3 กลุ่มอาการ ตาม “ZOE COVID Study” ดังนี้
- กลุ่มอาการทางระบบประสาท ความรู้สึกเหนื่อยล้า สมองอ่อนล้า ปวดหัว
ส่วนใหญ่มักเกิดในช่วงที่สายพันธุ์อัลฟาและเดลต้าระบาด (อาจชี้ถึงความเสียหายของสมอง)
- อาการระบบทางเดินหายใจ เจ็บหน้าอก หายใจลำบากอย่างรุนแรง (อาจชี้ถึงความเสียหายของปอด) พบคลัสเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม “ไวรัสหวู่ฮั่น”
- อาการที่หลากหลาย ใจสั่น ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผิวหนังและขนเปลี่ยนแปลง
กรณีลองโควิดจากโอไมครอน BA. 5 แม้การจัดเก็บข้อมูลยังไม่ครบ แต่ในเบื้องต้นพบลองโควิดจากโอไมครอน BA. 5 น้อยกว่าในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลตาถึง 20-50%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ดร.อนันต์ เผยผลวิจัย พบ ‘BA.2.75’ เชื้อเพิ่มจำนวนในปอด ได้มากกว่า ‘โอไมครอน’ ทุกสายพันธุ์
- โผล่อีก ‘ไข้หวัดมะเขือเทศ’ สาธารณสุขอินเดียตื่น สงสัย ใช่ ‘ฝีดาษลิง’ ไหม?
- กำลังท้องต้องระวัง!! เผยผลวิจัย ‘ไวรัสโควิด’ ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้