‘ฝีดาษลิง’ หรือเมืองไทย จะไม่รอด จากโรคประจำถิ่น แพทย์เผยประเด็นสำคัญ ผู้ติดเชื้อและผู้ที่จะรับเชื้อ ไม่รู้ตัวทั้งคู่
เพจเฟซบุ๊ก แพทยสภา ได้เผยแพร่บทความ ของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา และ รองอธิการบดี ม.สยาม ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่อง ฝีดาษลิง…หรือเมืองไทย จะไม่รอด จากโรคประจำถิ่น? ดังนี้
ฝีดาษลิง…หรือเมืองไทย จะไม่รอด จากโรคประจำถิ่น?
สถานการณ์ของโรคระบาดฝีดาษ ลิง ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2565 จากรายงานของ US-CDC แจ้งว่า มีผู้ติดเชื้อยืนยันทั่วโลกแล้ว 28,220 รายจาก 88 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อนอกดงระบาดของโรคนี้ถึง 27,875 รายใน 81 ประเทศที่อยู่นอกทวีปแอฟริกา แสดงว่า โรคนี้ยังระบาดตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาจนองค์การอนามัยโรคได้ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินทั่วโลกทางสาธารณสุข (PHEIC) ในวันที่ 23 กรกฎาคม
ประเด็นสำคัญคือ แม้จะมีองค์กรต่าง ๆ ให้ความรู้ในการป้องกันโรคอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม ทำไมจึงยังมีการแพร่กระจายอยู่ได้ทั้งๆ ที่ทุกท่านก็ทราบวิธีการป้องกันโรคนี้อยู่แล้ว หรือเรามาวิเคราะห์ดูว่า ยังมีความรู้วิชาการอะไรอีกไหม ที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเสริมในการป้องกันโรค
ก่อนอื่นผมยังย้ำเหมือนเดิมว่า วิธีการติดต่อของโรคนี้นอกดงระบาดยังเหมือนเดิม คือเกิดจากการสัมผัสอย่างแนบเนื้อทางผิวหนังต่อผิวหนัง ปากกับปากหรือผิวหนัง โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์ วิธีติดต่อทางอื่นยังไม่เป็นประเด็นที่ต้องนำมาคิดในประเทศไทย
ผู้ติดเชื้อและผู้ที่จะรับเชื้อ ไม่รู้ตัวทั้งคู่
เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่ามีประเด็นหนึ่งที่เราอาจจะนึกไม่ถึงคือว่า การแพร่เชื้อเกิดขึ้น โดยที่ผู้ติดเชื้อยังไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ และผู้ที่จะไปรับเชื้อก็คิดว่า ผู้ติดเชื้อคือผู้ที่มีผื่นพุพองขึ้นทั่วตัวตามใบหน้าและแขนขาแล้ว หากตนเองไม่เห็นผื่นหรือตุ่มพุพองตามร่างกายดังกล่าว ก็ไม่น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง
ความเชื่อแบบนี้อาจจะไม่ถูกต้องทีเดียวนัก และทำให้เกิดความชะล่าใจจนไปรับเชื้อ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว
ถ้าตั้งต้นว่า การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ในระยะแรก ผู้รับเชื้อจะมีเชื้อติดอยู่ตามแผลเล็ก ๆ ที่ผิวหนังตรงอวัยวะเพศ รูทวารหนัก รอบริมฝีปากหรือในช่องปาก โดยที่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีอาการเฉพาะที่ในบริเวณนั้น เชื้อจะฝังตัวเข้าในแผลเล็กๆ และเพิ่มจำนวนขึ้น แล้วกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมโตก่อนจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ระยะแรกนี้อาจจะกินเวลา 1 ถึง 7 วัน
ในระยะต่อมาซึ่งเป็นระยะหลัง เชื้อที่เพิ่มจำนวนจะกระจายเข้าในกระแสเลือดอีกครั้ง และไปที่ต่อมน้ำเหลืองทั่วตัวและที่ใต้ผิวหนัง ทำให้มีอาการตามระบบคือ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ที่สำคัญทำให้เกิดตุ่มที่ผิวหนังตามใบหน้า แขนขา ลำตัวและตำแหน่งอื่น ๆ อีก ต่อมาตุ่มเหล่านี้โตใหญ่ขึ้นเป็นตุ่มพองใสหรือขุ่นจนกระทั่งตกสะเก็ด ระยะหลังนี้ผู้ติดเชื้อจะรู้ตัวว่าติดเชื้อ บางรายไปหาแพทย์และเก็บตัวไม่ไปสัมผัสคนอื่น จนกระทั่งโรคหายใน 21 วัน
การแพร่เชื้อของโรคฝีดาษ ลิง จะเกิดได้ในระยะแรกและระยะหลังดังกล่าว แต่ผู้ที่ติดเชื้อและคนทั่วไปจะทราบว่าติดเชื้อ เมื่อตนเองป่วยอยู่ในระยะหลัง ทำให้การติดเชื้อเกิดขึ้นในระยะแรก โดยทั้งผู้ติดเชื้อและผู้ที่จะรับเชื้อไม่รู้ตัวทั้งคู่ ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์
แม้จะตรวจดูแผลในผู้ติดเชื้อในระยะแรกก็อาจจะไม่เห็น จึงไม่สามารถใช้การดูแผลเล็ก ๆ ในระยะแรกมาบอกว่า มีการติดเชื้อมาแล้วหรือไม่? การสวมถุงยางอนามัยก็ป้องกันโรคฝีดาษลิงไม่ได้
แนะวิธี ป้องกันการติดเชื้อ
วิธีการป้องกันการติดเชื้อในระยะแรกนี้ที่ได้ผลคือ การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้าจะให้ปลอดภัยในเรื่องเพศสัมพันธ์จากโรคนี้ ทั้งคู่จะมีเพศสัมพันธ์กันได้ต้องห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 21 วันกับคนอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และตนเองยังรู้สึกสบายดีเป็นปกติเท่านั้น จึงจะลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในระยะแรกของโรคได้
หากเข้าใจตรงกันในประเด็นนี้ อาจจะทำให้ไม่เกิดการติดเชื้อในระยะแรกของโรค และไม่ทำให้มีการแพร่กระจายของโรคต่อไปในคนไทย
เนื่องจากขณะนี้ มีรายงานว่าคนไทยในประเทศ 2 รายติดเชื้อโรคฝีดาษ ลิง จากการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว จึงขอให้คนไทยที่สงสัยว่า ตนเองอาจจะติดเชื้อ รีบเข้ารับการรักษาและดูแลตนเองไว้จนครบ 21 วัน เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อต่อไปแบบไม่รู้ตัว ท่านใดก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จักมาก่อน ต้องเฝ้าดูแลตนเองนาน 21 วันก่อนจะไปมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับคนอื่น ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวรายต่อไป ในระหว่าง 21 วันนี้ให้ระวังตัวแบบป้องกันโรคโควิด-19 ไปก่อน เพียงแต่ไม่ต้องกักตัวในห้องเพราะไม่ได้แพร่เชื้อผ่านทางลมหายใจ
เนื่องจากขณะนี้เรามีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในสถานที่ท่องเที่ยว นอกจากรัฐให้ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันตนเอง และการระวังโรคนี้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว เจ้าหน้าที่ตามโรงแรมและที่พักพิงต่าง ๆ ต้องเคร่งครัดในการทำความสะอาดผู้ปูที่นอน เสื้อผ้า และพื้นที่ในห้องพักตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและชาวไทยทุกรายที่มาพักอาศัย เช่นเดียวกับการป้องกันโรคโควิด-19 ที่โรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ นำมาใช้และใช้ป้องกันโรคฝีดาษ ลิง ได้ดีอยู่แล้ว
สรุปว่า สำหรับประเทศไทยในเดือนสิงหาคมนี้ โรคนี้ต้องจบและไม่มีคนไทยในประเทศรายใหม่ติดเชื้ออีก หากคุมโรคไม่อยู่และมีคนไทยรายใหม่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกิน 10 ราย โดยไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกันใน 10 รายนี้ โรคนี้จะมีโอกาสกลายเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทย และอาจจะมีการแพร่เชื้อต่อไปยังสัตว์แทะ เช่น หนู ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศ จนทำให้โรคนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่นถาวรได้
จึงเกิดคำถามในขณะนี้ขึ้นมาเลยว่า “เราอยากให้ประเทศไทยยังคงเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวระดับโลก หรือมีโรคฝีดาษ ลิง เป็นโรคประจำถิ่นถาวรร่วมด้วย” ท่านจะเลือกแบบไหนก็อยู่ในมือของคนไทยทุกท่านแล้วครับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ด่วน!! พบผู้ป่วย ‘ฝีดาษ ลิง’ รายที่ 5 หญิงไทย กลับจากดูไบ
- เปลี่ยนชื่อ ‘ฝีดาษ ลิง’ WHO เปิดรับการเสนอชื่อจากสาธารณชน
- ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ ยาต้านโควิด ยับยั้ง ‘ไวรัสฝีดาษ ลิง’ ได้ เพิ่มทางเลือกในการรักษา