Politics

อนุมัติจัดซื้อ ‘ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป’ ช่วยกลุ่มภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรค

ครม. ปรับลด การจัดซื้อวัคซีน AZ พร้อมเพิ่มการจัดซื้อ ‘ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป’ ช่วยกลุ่มเสี่ยงสูง ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรค

วันนี้ (21 มิ.ย. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค เปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญของการจัดหาวัคซีน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน 60 ล้านโดส (AstraZeneca) ในปี 65

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

งบลด 123.41 ล้านบาท จากลดซื้อวัคซีน AZ เหลือ 35.4 ล้านโดส

โดยปรับลดการจัดซื้อวัคซีน AZ  จากเดิม 60 ล้านโดส กรอบวงเงิน 18,762.5160 ล้านบาท เป็นการจัดซื้อวัคซีน AZ จำนวน 35.4 ล้านโดส กรอบวงเงิน 11,069.8845 ล้านบาท เพิ่มการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting antibody : LAAB) จำนวน 257,500 โดส กรอบวงเงิน 7,569.2228 ล้านบาท

ซึ่งทำให้กรอบวงเงินโดยรวมของโครงการ ปรับลดไป 123.41 ล้านบาท จากกรอบวงเงินเดิม 18,762.5160  ล้านบาท เหลือ  18,639.1073  ล้านบาท พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการจากเดือนกันยายน 65 เป็นเดือนธันวาคม 65 โดยให้กรมควบคุมโรค บริหารการจัดการและการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เพียงพอสำหรับประชาชนภายในประเทศและไม่เหลือทิ้ง

ในปี  2565  นี้ ประชากรในประเทศมีความต้องการวัคซีนโควิด-19 ลดลง ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีวัคซีนที่ได้รับจากการบริจาคจากต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้วัคซีนสำรองในประเทศเพียงพอ

กรมควบคุมโรคจึงพิจารณาปรับแผนการจัดซื้อวัคซีน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยปรับลดจำนวนวัคซีน AZ จาก 60 ล้านโดสเป็น 35.4 ล้านโดส  ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 บริษัท ฯ ได้ส่งมอบวัคซีนแล้วจำนวน 13.2 ล้านโดส ซึ่งจะได้มีแผนรับมอบ จำนวน  11.2  ล้านโดสภายในปี 65 ส่วนที่เหลืออีก 11 ล้านโดส คาดว่าจะได้รับมอบภายในไตรมาสที่ 2 ปี 66

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

 จัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ใช้กับกลุ่มเสี่ยงสูง ภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรค

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรค โควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตหากมีการติดเชื้อ แม้นว่าจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่ไม่เกิดภูมิคุ้มกันโรค เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ไม่สามารถสร้างแอนติบอดี้จากวัคซีน ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่ม การจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป  (LAAB) จำนวน 257,500 โดส โดยมุ่งใช้กับกลุ่มเสี่ยงสูงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรคได้แก่ ผู้ป่วยล้างไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเอง  ซึ่งจะช่วยป้องกันการป่วยได้ถึงร้อยละ 83 

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค จะได้มีการปรับแผนรับมอบวัคซีน เพื่อให้สอดคล้องกับการคาดการณ์ ความต้องการวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) ภายในประเทศ และลดการสูญเสียกรณีวัคซีนหมดอายุด้วย

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

ChulaCov19  mRNA ทดสอบทางคลินิก ก่อนขอขึ้นทะเบียน อย.

พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรียังอนุมัติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19  (ChulaCov19  mRNA) เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1-3 และการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนรับการรับรองจาก อย.  พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เป็นเดือนธันวาคม 65

โดยมอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 (ChulaCov19mRNA) ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ที่ก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ให้สำเร็จตามเป้าหมาย  เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการพัฒนา และผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และยังช่วยยกระดับห่วงโซ่การผลิตวัคซีนภายในประเทศ และลดความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ของประเทศด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo