Politics

อนุทิน” เผย เตรียม ‘ความพร้อม 4 ด้าน’ ปรับ โควิด สู่ ‘โรคประจำถิ่น’

“อนุทิน” เผย แนวทางเตรียม ‘ความพร้อม 4 ด้าน’ ปรับ โควิด สู่ ‘โรคประจำถิ่น’ พร้อมลดระดับ เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง 

วันนี้ (1 มิ.ย. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวภายหลัง การประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 6/2565 ว่า ที่ประชุมมีวาระสำคัญ เรื่องการเตรียมความพร้อมเปลี่ยนผ่านโรคโควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น โดยมีการเตรียมความพร้อม 4 ด้าน คือ ด้านสาธารณสุข ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมายและสังคม และด้านการสื่อสาร

โรคประจำถิ่น

ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่ำกว่า 5,000 รายต่อวัน ผู้เสียชีวิตลดลงต่ำกว่า 50 รายต่อวัน การฉีดวัคซีนโควิด 19 ทำได้ดี โดยฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 137 ล้านโดส และการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับ และได้รับการชื่นชมจากองค์การอนามัยโลก และนานาประเทศ ว่าบริหารจัดการโรคระบาดได้ดี มีความพร้อมในการเผชิญปัญหาและปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการที่ประชาชนให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ปฏิบัติตามคำแนะนำการป้องกันโรคส่วนบุคคล ปรับวิถีการดำเนินชีวิตแบบ new normal และเข้ารับวัคซีน

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จึงเสนอการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับการเดินหน้าไปสู่โรคประจำถิ่นอย่างปลอดภัย ภายใต้แนวคิด Health for Wealth ใช้สุขภาพสร้างความเข้มแข็งประเทศ คือ ประชาชนปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง

โรคประจำถิ่น

มาตรการทั้ง 4 ด้าน ปรับสู่โรคประจำถิ่น

โดยมีเป้าหมายเพื่อคืนระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้ประชาชนทุกคน ผู้ป่วยทุกโรค ได้ใช้บริการตามปกติ เนื่องจากโรคโควิด 19 ลดความรุนแรงลงมาก ไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง จนกระทบกับการรักษาพยาบาลโรคอื่น ๆ อีกต่อไป โดยจะมีการเตรียมพร้อมมาตรการทั้ง 4 ด้าน ดังนี้

1.) มาตรการด้านสาธารณสุข

เดินหน้า Universal Vaccination จะเร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่า 60% ปรับระบบเฝ้าระวังเน้นการระบาดเป็นกลุ่มก้อนและผู้ป่วยปอดอักเสบ ผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ปรับแนวทางการแยกกักผู้ป่วยและกักกันผู้สัมผัส

2.) มาตรการด้านการแพทย์

ปรับแนวทางการดูแลรักษาโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก เน้นดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง และมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยภาวะ Long COVID ปรับมาตรการการดูแลรักษาผู้ป่วยทั่วไป ไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิค 19 ยกเว้นมีอาการหวัด สงสัยติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยในหรือต้องผ่าตัด จะตรวจ ATK หรือ RT-PCR ตามความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ป่วยรายอื่น และบุคลากรทางการแพทย์รวมถึงเตรียมระบบการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมกับอาการและระดับความรุนแรงของโรค เตียง บุคลากร สำรองยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลไว้อย่างเพียงพอ หากเกิดการระบาดซ้ำ

โรคประจำถิ่น

3.) มาตรการด้านกฎหมาย สังคมและองค์กร

โดยบริหารจัดการด้านกฎหมายเพื่อลดความสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณสุข ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จะพิจารณาเสนอให้ปรับโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะมีแนวทางการควบคุมป้องกันโรคคล้ายกับโรคติดต่อทั่วไป รวมถึงมีการผ่อนคลายมาตรการทางสังคม ลดการจำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มากง

ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ศบค.ได้เห็นชอบให้พื้นที่นำร่องท่องเที่ยวและพื้นที่เฝ้าระวัง เปิดสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ อาบ อบ นวด หรือสถานบริการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด และเน้นย้ำประชาชนและสังคมยังเข้มมาตรการ 2U คือ Universal Prevention สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และ Universal Vaccination ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม

โรคประจำถิ่น

4.) มาตรการด้านการสื่อสาร

ทุกภาคส่วนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรมให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับโควิดได้ (Living with COVID) โดยสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความร่วมมือของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo