Politics

‘ไพศาล’ หวั่น ปัญหาจะนะ เติมเชื้อไฟความรุนแรงภาคใต้ ลามแบ่งแยกดินแดน

“ไพศาล” เตือนรัฐบาล อย่าให้ปัญหาจะนะ กลายเป็นเชื้อไฟ บานปลายแบ่งแยกดินแดน จี้ ศอ.บต. ทบทวนบทบาท การใช้งบประมาณ แก้ปัญหาด่วน

นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และเจ้าของนามปากกา สิริอัญญา โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระวังความรุนแรงชายแดนภาคใต้ โดยระบุว่า

จะนะ 1

การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ผู้แทนรัฐบาลได้ทำความตกลงกับกลุ่มผู้ชุมนุมอำเภอจะนะ และคณะรัฐมนตรีได้รับทราบข้อตกลง และมีการสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น แต่ล่วงเลยใกล้หนึ่งปีกลับไม่มีการปฏิบัติ ชาวจะนะจึงมาชุมนุมทวงถามสัญญาอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้ปัญหาได้บานปลายลุกลามไปเป็นปัญหาการเมืองภายในรัฐบาล และลุกลามไปยังมวลชนที่รักความเป็นธรรมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็ได้ให้การสนับสนุนต่อการชุมนุมนี้อย่างออกนอกหน้า

ที่สำคัญคือ กลุ่มบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้ฉวยโอกาสผสมโรงประณามรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา และประกาศสนับสนุนการชุมนุมของชาว จะนะด้วย

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนี้ ย่อมมีเป้าหมายทางการเมือง ที่ต้องการสร้างความเป็นแนวร่วมกับชาวจะนะ และชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

เพราะในขณะที่ชาวจะนะส่งผู้แทนขึ้นมาชุมนุมในกรุงเทพฯ ก็มีการจัดชุมนุมย่อยขึ้นในหลายพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยิ่งเผชิญกับท่าทีที่แข็งกร้าวหรือก้าวร้าวต่อผู้ชุมนุมมากขึ้นเท่าใด ความโกรธแค้นชิงชังก็เกิดขึ้นแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ด้วย

ถึงขั้นที่มีการประสานงานกันจัดทำพิธีกรรมทางศาสนาที่เรียกว่า ละหมาดฮายัต เพื่อขอพรพระเป็นเจ้าให้ปกป้องและช่วยเหลือการต่อสู้ของประชาชน และมีการทำพิธีดังกล่าวในพื้นที่ทั่วไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ท่าทีของกลุ่มบีอาร์เอ็นสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของชาวจะนะ

และเหตุการณ์ความรุนแรงก็ได้เกิดขึ้นในลักษณะประสานกับการชุมนุมในกรุงเทพฯ การซุ่มโจมตีทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากแก้ไขปัญหานี้ไม่ทันท่วงทีก็จะเกิดความเป็นปรปักษ์ที่ยกระดับรุนแรงขึ้น

จะนะ1

ศอ.บต. เป็นหน่วยงานที่มีการจัดตั้งขึ้นมานานแล้ว มีภารกิจสำคัญคือ แก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และในการพัฒนาพื้นที่เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนในพื้นที่ เพราะถือว่าความอยู่ดีมีสุขของประชาชนจะเป็นเครื่องคุ้มกันไม่ให้ประชาชนหลงผิดไปเข้าร่วมกับกลุ่มก่อความไม่สงบ

นับตั้งแต่เกิดกรณีปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็งเมื่อปี 2547 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยได้ทุ่มเทให้ความสำคัญแก่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบ และการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขอย่างต่อเนื่อง

มีการใช้เงินงบประมาณเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ต่อเนื่องกันมา 17 ปีเต็มแล้ว นับเป็นเงินงบประมาณที่ได้จ่ายไปร่วม 300,000 ล้านบาท

ถ้าหากได้มีการใช้เงินงบประมาณดังกล่าวอย่างสอดคล้องและมุ่งสู่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ และการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ก็ควรที่จะมีความก้าวหน้าในทุกด้าน

นั่นคือเหตุการณ์ความไม่สงบต้องสร่างสิ้นลงไป ประชาชนในพื้นที่ย่อมอยู่ดีกินดี ท้องถิ่นย่อมมีความเจริญก้าวหน้า

แต่เวลาผ่านไป 17 ปีเต็ม สภาพที่เคยเป็นอยู่ในปี 2547 ก็ยังคงเกิดขึ้นสืบเนื่องต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้

และเรื่องของชาวจะนะก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือในพื้นที่อำเภอจะนะ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบดำรงอยู่

ดังนั้นถ้าหากการพัฒนาพื้นที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับความปรารถนาร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าย่อมได้รับการต้อนรับสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่

แต่ปรากฏว่าโครงการสร้างนิคมที่จะนะ ที่มีการกวาดต้อนรวมที่ดินซึ่งเป็นท้องถิ่นดั้งเดิมและมีคุณค่าทางธรรมชาติ และเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจะนะมาตั้งแต่บรรพกาลเป็นเนื้อที่ถึง 20,000 ไร่ โดยวิธีการสารพัด ทำให้ชาวจะนะเห็นว่าโครงการนี้เป็นอันตรายและทำลายสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ จึงปฏิเสธโครงการนี้

แม้กระนั้นก็หามีใครรับฟังไม่ กลับใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่า โครงการนี้เป็นความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงเกิดขบวนการต่อสู้ขึ้นในพื้นที่ เป็นเหตุให้ภาคประชาชนที่เข้าร่วมการต่อสู้ต้องล้มหายตายจาก หรือไม่ก็ต้องคดี และได้รับความเดือดร้อน จนกระทั่งต้องขึ้นมาชุมนุมกันในกรุงเทพฯ ถึงสองรอบสองหน

ดังนั้นเมื่อความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่กับหน่วยงานของรัฐที่ขับเคลื่อนโครงการนี้ ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น และยกระดับความรุนแรงมากขึ้น จึงย่อมส่งผลต่อการเมืองในพื้นที่ นั่นคือการเมืองระหว่างรัฐกับกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ และได้กลายเป็นเชื้อไฟให้แก่การก่อความไม่สงบอย่างดีด้วย

เหตุนี้เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความรุนแรงมากขึ้นจนเป็นที่น่าวิตก เพราะทำให้กระแสการแบ่งแยกดินแดนเด่นชัดขึ้น

ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องทบทวนบทบาทและเงินงบประมาณที่ใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้เกิดผลที่แท้จริงแก่ประเทศชาติ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo