อ่านที่นี่!! “นายกรัฐมนตรี” โพสต์แจ้ง 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องบอกให้ประชาชนทราบ พร้อมก้าวไปสู่การร่วมกันสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ด้วยกันอย่างยั่งยืนและมั่นคง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ระบุว่า พี่น้องประชาชนไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ที่ประชุม ครม. มีสองประเด็นที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ผมอยากจะนำมาแจ้งให้ทุกท่านทราบ ดังนี้ครับ
เรื่องที่ 1 โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ในวันนี้ ครม.ได้เห็นชอบข้อเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก เป็นครั้งที่ 2 เพิ่มเติมอีก 12 จังหวัด ซึ่งเมื่อรวมกับที่ได้อนุมัติไปแล้ว 23 จังหวัดในการประชุมครั้งที่แล้ว รวมเป็นทั้งสิ้น 35 จังหวัด จำนวนโครงการที่ผ่านการอนุมัติ 4,303 โครงการ รวมกรอบวงเงินจัดสรรที่ 9,757.86 ล้านบาท ให้กับจังหวัดต่อไปนี้คือ
ครั้งที่ 1 จำนวน 23 จังหวัด 2,117 โครงการ วงเงินรวม 6,170.65 ล้านบาท
- นครสวรรค์ 84 โครงการ 295.51 ล้านบาท
- อุทัยธานี 102 โครงการ 219.03 ล้านบาท
- กำแพงเพชร 338 โครงการ 275.03 ล้านบาท
- พิจิตร 89 โครงการ 215.80 ล้านบาท
- อุดรธานี 77 โครงการ 362.23 ล้านบาท
- หนองคาย 53 โครงการ 206.61 ล้านบาท
- หนองบัวลำภู 81 โครงการ 251.30 ล้านบาท
- บึงกาฬ 70 โครงการ 229.45 ล้านบาท
- ขอนแก่น 375 โครงการ 370.28 ล้านบาท
- สิงห์บุรี 70 โครงการ 234.01 ล้านบาท
- ปทุมธานี 47 โครงการ 262.08 ล้านบาท
- เพชรบุรี 43 โครงการ 234.67 ล้านบาท
- ประจวบคีรีขันธ์ 84 โครงการ 240.92 ล้านบาท
- ฉะเชิงเทรา 71 โครงการ 275.72 ล้านบาท
- ตราด 37 โครงการ 212.77 ล้านบาท
- สุราษฎร์ธานี 121 โครงการ 331.15 ล้านบาท
- ชุมพร 58 โครงการ 214.77 ล้านบาท
- นครศรีธรรมราช 57 โครงการ 354.66 ล้านบาท
- พัทลุง 66 โครงการ 299.01 ล้านบาท
- สงขลา 74 โครงการ 348.78 ล้านบาท
- กระบี่ 35 โครงการ 263.70 ล้านบาท
- ตรัง 41 โครงการ 256.60 ล้านบาท
- สตูล 44 โครงการ 216.80 ล้านบาท
ครั้งที่สอง จำนวน 12 จังหวัด 2,186 โครงการ วงเงินรวม 3,587.21 ล้านบาท
- กาฬสินธุ์ 690 โครงการ 400.57 ล้านบาท
- มหาสารคาม 473 โครงการ 282.38 ล้านบาท
- นครราชสีมา 227 โครงการ 494.36 ล้านบาท
- ชัยภูมิ 257 โครงการ 275.78 ล้านบาท
- ยโสธร 20 โครงการ 251.45 ล้านบาท
- สระบุรี 121 โครงการ 234.03 ล้านบาท
- นครปฐม 105 โครงการ 263.88 ล้านบาท
- จันทบุรี 56 โครงการ 207.03 ล้านบาท
- พังงา 47 โครงการ 219.58 ล้านบาท
- ระนอง 69 โครงการ 249.37 ล้านบาท
- นราธิวาส 63 โครงการ 354.09 ล้านบาท
- ปัตตานี 58 โครงการ 354.66 ล้านบาท
โดยโครงการทั้งหมด แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ
- กลุ่มที่ 1 โครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และการค้า เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด
- กลุ่มที่ 2 โครงการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร เช่น การขุดบ่อบาดาลสำหรับการเกษตร การขยายท่อเพื่อการเกษตร
- กลุ่มที่ 3 โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของประชาชนให้สูงขึ้น
- กลุ่มที่ 4 โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชุมชน เช่น การทำถนน สาธารณูปโภค ปรับปรุงประปา อาคาร และอื่น ๆ
โดยโครงการทั้งหมด เป็นโครงการระยะเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตจากสถานการณ์โควิด-19 มีระยะเวลาในการดำเนินการระหว่างเดือน สิงหาคม-ธันวาคม 2564 ซึ่งจากที่อนุมัติแล้ว 4,303 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานอย่างน้อย 95,500 คน มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 18 ล้านคน และโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ยังจะมีการอนุมัติครั้งต่อๆไปสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะได้นำเสนอต่อ ครม.ในการประชุมต่อ ๆ ไปโดยเร็วที่สุดหลังจากพิจารณาอนุมัติโครงการตามที่ได้เสนอมาแล้ว
เรื่องที่ 2 การแก้ไขปัญหากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
ในปัจจุบันมีการกู้ยืมเงินของ กยศ. มากกว่า 5 ล้านราย รวมเป็นวงเงินมากกว่า 6 แสนล้านบาท แต่ยังมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้สูงถึงมากกว่า 60% และยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลให้สั่งการให้คณะกรรมการ กยศ. ได้แนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทต่าง ๆ เช่นลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี และเพิ่มส่วนลดเงินต้นจาก 3% เป็น 5% สำหรับผู้ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ ส่วนผู้ไม่สามารถชำระหนี้ชั่วคราว ก็มีการผ่อนผัน จากเดิมจ่ายขั้นต่ำ 100 บาท ลดลงเหลือเพียง 10 บาทต่อเดือน
ส่วนกลุ่มที่ผิดชำระหนี้ ก็มีการลดเบี้ยปรับ 100% ในการชำระหนี้ปิดบัญชี และเพิ่มส่วนลดเบี้ยปรับจาก 75% เป็น 80% เพื่อให้เบี้ยปรับลดลง สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะปกติ พร้อมทั้งลดอัตราเบี้ยปรับลงเหลือ 0.5% ต่อปี ส่วนลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องนั้น มีนโยบายให้ชะลอการฟ้องร้องคดีและบังคับคดีออกไป และสำหรับลูกหนี้รายใหม่ ให้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืน นอกนั้นจะยังมีแผนการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อผ่อนคลายภาระให้กับลูกหนี้ทุกประเภทด้วย
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาลในการหาทุกหนทางในการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในขณะนี้มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายลง รัฐบาลจึงต้องเตรียมมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ให้ถึงประชาชนแต่ละจังหวัดให้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะภายในสิ้นปีนี้ เราจะก้าวไปสู่การร่วมกันสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ด้วยกันอย่างยั่งยืนและมั่นคง ให้อนาคตของประเทศ มีรากฐานที่แข็งแรงทั้งระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อประโยชน์และความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีอาชีพใด อยู่ที่จังหวัดใดก็ตาม ทุกคนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขอให้เราทุกคนมาร่วมมือ “สร้างประเทศ” ร่วมกันครับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘บิ๊กตู่’ คุยเอง!! ‘ซีอีโอแอสตร้าฯ’ ยันสิ้นปีได้วัคซีนครบ 61 ล้านโดสแน่นอน
- ‘บิ๊กตู่’ ห่วงฟรีแลนซ์อดเงินเยียวยา เตือนเร่งสมัคร ม.40 รับ 5,000 บาทด่วน!!
- สายตี้มีหนาว!! บิ๊กตู่เสียงเข้ม จัดปาร์ตี้สังสรรค์ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เสี่ยงแพร่โควิด