Politics

ผบ.ตร. สั่งปรับยุทธวิธี ห้ามตำรวจเข้าพื้นที่ชุมชน-ยกเลิกตั้งตู้คอนเทนเนอร์ที่วิภาฯ

“ผบ.ตร.” สั่งปรับยุทธวิถีรับมือม็อบ ห้ามเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่ชุมชน-ยกตู้คอนเทนเนอร์ บนถ.วิภาดี ออก  หลังเจอคลิปว่อนเน็ต คฝ. ใช้กระสุนยางยิงประชิดตัว รถจักรยานยนต์ และการยิงกระสุนยาง บริเวณใต้แฟลตดินแดง

วันนี้ (21 ส.ค.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์การชุมนุม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า จะมีการปรับยุทธิวิธี ให้กับเจ้าหน้าที่ ในการเข้าระงับเหตุวุ่นวายที่เกิดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เมื่อคืนที่ผ่านมาปรากฎภาพเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้วยความรุนแรง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน โดยเฉพาะคลิปเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ยิงประชิดใส่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และ ยิงใส่ใต้แฟลตดินแดง จำนวน 2 เหตุการณ์

จับภาพ

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ บช.น.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ต้องพิจารณาถึงเหตุ และผลเป็นเรื่อง ๆ ไป เพราะหลักยุทธวิธีสากล เป็นเพียงหลักเกณฑ์กว้าง ๆ ที่กำหนดขึ้นเท่านั้น ไม่มีการบังคับตายตัว จึงต้องเรียกตำรวจนายดังกล่าวมาตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตอบคำถามของสังคมได้ว่า เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงจริงหรือไม่

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สั่งการให้ปรับยุทธวิธีแล้ว โดยการกำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติการภายในที่พักอาศัย ชุมชน หรือซอยขนาดเล็ก แต่เน้นการรักษาพื้นที่บริเวณถนนเส้นหลัก ป้องกันไม่ให้มีการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และทรัพย์สินของประชาชน หรือโจมตีเจ้าหน้าที่

รวมถึงยกเลิกการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ที่ขวางถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก ใกล้สามเหลี่ยมดินแดง ที่จะมุ่งหน้ากรมทหารราบที่ 1 และยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ปกป้องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการปกป้องสถานที่ราชการ

ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอให้เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันสูงมาก ต้องรักษาความสงบ และต้องบังคับใช้กฎหมาย เพราะสถานการณ์ในวันนี้ ไม่ใช่การชุมนุมเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นการก่อความวุ่นวาย และทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยการใช้ระเบิดปิงปอง และหัวน็อต ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้รับบาดเจ็บเมื่อไหร่ และผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ทำให้ตำรวจทำงานได้ยาก ก็ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ให้อดทนอดกลั้น

แม้กลุ่มผู้ก่อเหตุจะเล่นนอกกติกาก่อความรุนแรง แต่ตำรวจต้องอดทน และปฏิบัติภายในกติกากฎหมายและยุทธวิธีสากล ซึ่งเบื้องต้นตำรวจได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ปกครองของเยาวชนเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจ และชี้แจงเหตุผลที่ตำรวจต้องดำเนินคดี พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่จุดเกิดเหตุ แต่มาจากจังหวัดรอบกรุงเทพฯ และตอนนี้มีการจับกุมแกนนำ ที่ชักชวนเยาวชนออกมารวมตัวก่อเหตุแล้วบางส่วน แต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ส่วนเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อไหร่ ผบ.ตร. กล่าวว่า “ไม่มีหนังเรื่องไหนไม่จบ อยู่ที่ว่าจะเป็นหนังสั้นหรือหนังยาวเท่านั้นเอง”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo