“หมอนิธิพัฒน์” ชี้ไม่น้อยกว่าสิบวันที่ตัวเลขต่าง ๆ อาจจะเริ่มลดลง ยอดผู้เสียชีวิตอาจไปต่อ จนถึงหลักร้อยได้ เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้รับผิดชอบ อย่าดูแคลนโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ พร้อมระบาดในวงกว้างได้ทุกเมื่อ อย่าได้คะนองปากด่วนคิด และพูดออกไป
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความ ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว นิธิพัฒน์ เจียรกุล ระบุว่า
หมอนิธิพัฒน์ บอกเสียชีวิตอาจไปต่อถึงหลักร้อย อย่าดูแคลนโรคติดเชื้ออุบัติใหม่
“2 ธันวาคม 2563 เริ่มมีการระบาดของโควิดระลอกสอง ตั้งต้นที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย” ช่วงนั้นรีบไปตัดผมเพราะคาดว่าเหตุการณ์น่าจะบานปลาย และอาจไม่ได้เข้าร้านตัดผมนานเกือบสามเดือนเหมือนในการระบาดระลอกแรก
พอกลับมาบ้านจึงเลือกถ่ายรูปใส่เสื้อทีมเชียงรายยูไนเต็ดเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เหมือนเป็นการแก้เคล็ด โชคดีว่าระลอกสองผ่านไปโดยไม่มีการปิดร้านตัดผม
พอมาถึงตลอดช่วงเวลาในการระบาดระลอกสาม ผมของผมไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนก่อนนัก มาตรการควบคุมโรคโดยรวมผ่อนคลายลงไปมาก จนบางคนคิดว่าหย่อนยานไปและเป็นเหตุให้เกิดระลอกสี่ที่รุนแรงหนักหนาสาหัสสากรรจ์
ผ่านมากว่าเจ็ดเดือนจากในรูปแรก วันนี้หลังจากจะมีการบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์ที่เขาว่าเข้มข้นขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ผมตื่นตูมเกินเหตุไปอีกไหม ทั้งที่เขาไม่ได้ปิดร้านทำผมและร้านตัดผม แต่มันสังหรณ์พิกลกลัวมาตรการจะไม่ชะงัดและเอาไม่อยู่
อย่ากระนั้นเลยไปตัดผมให้สั้นล้างอาถรรพ์อีกทีดีกว่า กลับมาแล้วจึงเลือกเสื้อทีมเมืองทองยูไนเต็ดมาใส่ เพราะเขาเป็นหนึ่งในทีมดังประจำเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการระบาดระลอกสี่ ในเมื่อชักไม่มั่นใจฝีมือตัวเอง และไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไสยศาสตร์อาจยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวได้ในยามนี้
อย่างที่แจ้งไปแล้วว่ากว่ามาตรการใหม่นี้จะเห็นผล คงไม่น้อยกว่าสิบวันกว่าตัวเลขต่าง ๆ จึงอาจจะเริ่มลดลง ยอดผู้เสียชีวิตที่ทำนิวไฮหลักเก้าสิบมาให้เห็นแล้วในวันนี้ และ อาจไปต่อจนถึงหลักร้อยได้ ไม่น่าเชื่อว่าเราไม่สามารถเซฟชีวิตเพื่อนร่วมชาติได้ เป็นจำนวนพอควร แม้ส่วนใหญ่เราจะเซฟการสูญเสียของพวกเขาได้
แต่ร่องรอยความผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ยังหลงเหลือให้เห็นในบางราย เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้รับผิดชอบอย่าดูแคลนโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่พร้อมจะระบาดในวงกว้างได้ทุกเมื่อ อย่าได้คะนองปากด่วนคิด และพูดออกไป ก่อนที่จะมั่นใจว่าเข้าใจและมั่นใจว่ากุมสถานการณ์ได้จริง
พอเรามีผู้ป่วยปอดอักเสบโควิดจำนวนมากเป็นหลักแสนคน แน่นอนเราพบลักษณะทางคลินิกที่มีความหลากหลาย อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยปอดอักเสบโควิดนี้อยู่ที่ราวร้อยละ 2 (ผู้ป่วยโดยรวมเกิดปอดอักเสบราวร้อยละ 50 โดยเสียชีวิตราวร้อยละ 1)
ในส่วนผู้ที่ชีวิตรอดมีจำนวนหนึ่ง ที่เกิดปอดเป็นพังผืด บางรายแทบจะพิการ เพราะต้องใช้ออกซิเจนระยะยาวทำให้เคลื่อนไหวได้จำกัด หลายรายที่ต้องเจาะคอถาวร และอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ บางรายที่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องหัวใจ และปอดเทียมแม้จะรอดได้นานกว่าสองเดือน
แต่ก็ไม่สามารถเอาเครื่องออกได้ ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งค่าใช้จ่ายและทรัพยากรสุขภาพด้านอื่นจำนวนมาก มีบางรายที่อาจไม่ประสบปัญหาทางปอดมากนัก
แต่มีปัญหาทางด้านร่างกายอื่นติดตัวไปได้ในทุกระบบ นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจรุนแรง ทั้งในระหว่างที่ป่วยหนัก และติดตัวไปแม้โรคทางกายจะหายหรือทุเลาไปมากแล้ว กลุ่มของความความผิดปกติเหล่านี้รวมเรียกว่า Post-COVID Conditions
การป้องกันที่ดีที่สุดของพวกเราที่จะช่วยหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมเหล่านี้ได้ก็คือ การฉีดวัคซีนร่วมกับระมัดระวังตัวไม่ให้ติดเชื้อ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กรุงเทพฯ น่าเป็นห่วง! ทุบสถิติต่อเนื่อง ติดโควิดรายใหม่ 3,191 ราย นำโด่ง 10 จังหวัดติดเชื้อสูงสุดวันนี้
- ‘หมอศิริราช’ ขอทุกคนช่วยกันช่วง 14 วัน -เร่งปูพรมเอกซเรย์ทุกพื้นที่หาผู้ติดเชื้อ
- ‘เคอร์ฟิว 10 จังหวัด’ ช่วง 3 ทุ่ม-ตี 4 ร้านสะดวกซื้อปิด 2 ทุ่ม เริ่มบังคับ 12 ก.ค. นี้