ตำรวจจ่อแจ้งข้อหาหนัก 12 รุ่นพี่ นักศึกษา “อุเทนถวาย” ทำร้ายรุ่นน้อง ดับ อาจารย์เผย ไม่มีการขออนุญาต หรือแจ้งให้ทางมหาวิทยาลัยทราบ ลั่น ไล่ออกสถานเดียว
วันนี้ (9 มิ.ย.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ชี้แจงความคืบหน้ากรณี นักศึกษาอุเทนถวาย เสียชีวิตเพราะถูกรุ่นพี่ซ้อม แต่ไม่มีผู้ใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ จนญาติต้องออกมาร้องขอความเป็นธรรมว่า พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว แล้วรายงานผลให้ทราบโดยด่วน
ต่อมา สน.ปทุมวัน ได้รายงานความคืบหน้าเหตุดังกล่าวให้ทราบ โดยมีข้อเท็จจริง ดังนี้
วันที่ 30 พฤษภาคม 2564 ว่าที่ ร.ต.วีรพงษ์ พี่ชายของ นายวีรพัฒน์ หรือปลื้ม ตามกลาง อายุ 22 ปี นักศึกษา ปี 2 คณะวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ได้เข้าแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 นายวีรพัฒน์ ได้ไปร่วมกิจกรรมรับน้องของสถาบัน และถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ห้อง ICU จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
เหตุเกิดที่อาคารเรียนคณะวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ญาติได้ย้ายนายวีรพัฒน์ ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา
วันที่ 3 มิถุนายน 2564 คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัย ได้มาลงบันทึกประจำวัน แจ้งเหตุเกี่ยวกับการเข้าไปใช้สถานที่โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน
วันที่ 5 มิถุนยน 2564 ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลมหาราชว่า นายวีรพัฒน์ เสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า ลิ่มเลือดที่น่องหลุดไปอุดตันเส้นเลือดขั้วปอด
ส่วนการดำเนินการของพนักงานสอบสวน หลังจากรับแจ้งเหตุ พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือไปขอรายละเอียด และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ อยู่ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งทางมหาวิทยาลัย จะนำส่งมอบให้พนักงานสอบสวนในวันนี้ (9 มิ.ย.)
จากนั้นได้สอบสวนพยาน ซึ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ให้การว่า ในวันที่เกิดเหตุ นักศึกษารุ่นพี่ ประมาณ 12 คน ได้สั่งให้นักศึกษารุ่นน้อง ประมาณ 30 คน มาพร้อมกันที่มหาวิทยาลัย เพื่อประชุมเกี่ยวกับเรื่องการจัดกิจกรรม โดยไม่ได้ทำหนังสือขออนุญาต หรือแจ้งให้ทางมหาวิทยาลัยทราบ จากนั้นนักศึกษารุ่นพี่ได้มีการทำกิจกรรมและมีการทำร้ายนายวีรพัฒน์จนสลบ และได้นำตัวนายวีรพัฒน์ส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว เพื่อทำการรักษา
เบื้องต้นทราบว่าทางมหาวิทยาลัยได้ทำการสอบสวนเรื่องดังกล่าวแล้ว และจะได้ส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานสอบสวน เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน
หากปรากฎพยานหลักฐานแน่ชัดว่า ผู้ใดเกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายนายวีรพัฒน์ พนักงาน สอบสวนก็จะได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ ผบช.น. ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมกำชับ พนักงานสอบสวน เรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานโดยหากพบว่าผู้ใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต้องดำเนินคดีตามกฎหมายให้ครบถ้วน
ไล่ออกสถานเดียว
ก่อนหน้านี้ ผศ.พรชัย อัจฉริยเมธากร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย กล่าวภายหลัง เข้าร่วมงานสวดอภิธรรมศพ นายวีรพัฒน์ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ เบื้องต้นได้สอบสวนหาข้อมูล จนทราบว่า กลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่ร่วมกระทำ มีทั้งหมด 12 คน ซึ่งทั้งหมดให้การรับสารภาพแล้ว
ตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย ถ้ามีการกระทำรุนแรงขนาดนี้ จะต้องให้ออกสถานเดียว ตอนนี้ได้เสนอชื่อนักศึกษาทั้งหมดที่ก่อเหตุถึงอธิการบดีแล้ว ถ้าอธิการบดีเซ็นก็สิ้นสุดกระบวนการคือให้ออกสถานเดียว
“ส่วนทางคดีต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายจัดการ ทางมหาวิทยาลัยพร้อมให้ความร่วมมือ สำหรับการเยียวยา มหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการตามระเบียบเท่าที่กระทำได้ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งจะต้องให้คณะกรรมการหารือตามความเหมาะสมต่อไป”
ขณะที่ นางมนัสนันท์ ตามกลาง อายุ 57 ปี มารดานายวีรพัฒน์ กล่าวว่า หลังจากได้มีโอกาสร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ทางครอบครัวมีความมั่นใจว่า จะได้รับความยุติธรรมขึ้นมาบ้าง ตอนนี้สถาบันได้ออกมายอมรับแล้ว แต่ผู้ก่อเหตุคือนักศึกษารุ่นพี่ ยังไม่มีใครออกมายอมรับเลย ทุกอย่างให้อภัยกันได้อยู่แล้ว
“ส่วนเรื่องคดีก็อยากให้ตำรวจเร่งรัดทำคดีตรงไปตรงมาอย่างเป็นธรรม เพราะการกระทำดังกล่าวรุนแรง หากเป็นใครก็ตามจะคิดได้เหมือนตนที่เป็นผู้เสียหาย ถึงเวลานี้ยังไม่มั่นใจว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างไร เพราะยังไม่เห็นความคืบหน้า”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- องค์กรนักศึกษา ‘แม่โจ้’ เลิกรับน้องละเมิดสิทธิ ‘นิเทศ จุฬาฯ’ แถลงการณ์ขอโทษ
- โพลชี้ ‘ประเพณีรับน้อง’ มีผลเสียมากกว่าดี
- น้ำตาไหล! หนูน้อยวัย 3 ขวบครึ่ง ลากกระเป๋าออกจากบ้าน เข้ารพ.รักษาโควิด
