Politics

ดีอีเอสเรียกเฟซบุ๊กแจงคำสั่งศาล ปิด 8 บัญชีกระทบความมั่นคง 

ดีอีเอส เปิดชื่อผู้ใช้โซเชียลที่ศาลมีคำสั่งปิดรวม 8 บัญชี แม้จะเปิดใหม่ภายใต้บุคคลเดียวกัน ก็ต้องปิดตามคำสั่งศาล เตือนคนเอาข้อความไปโพสต์ต่อ มีความผิดเช่นเดียวกัน

ปิดบัญชีเฟซบุ๊ก

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (2 มิ.ย. 64) ได้เชิญผู้ให้บริการมารับทราบคำสั่งศาลที่มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ในบัญชีผู้ใช้บริการในเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก และรหัสประจำตัวผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ก (Facebook ID) และข้อมูลหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP ADDRESS) ที่มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ก จำนวน 8 บัญชีออกจากระบบคอมพิวเตอร์

  • Pavin Chachavalpongpun
  • Andrew MacGregor Marshall
  • รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง
  • Suda Rangkupan
  • ป้าหนิง DK
  • Aum Neko
  • KTUK – คนไทยยูเค
  • Pixel HELPER

สำหรับบัญชีสำคัญทั้ง 8 บัญชี เป็นบัญชีเฟซบุ๊กเป็นหลัก โดยคำสั่งศาลในครั้งนี้ ครอบคลุมไปถึงแม้จะปิดและเปิดใหม่ในคอนเทนท์เดียวกัน หรือโดยบุคคลเดียวกัน ก็ต้องปิดตามคำสั่งนี้

ส่วนผู้กระทำความผิดแม้ว่าจะอยู่ต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันทำงานถือเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร อีกทั้ง กรณีที่ผู้อื่นนำคอนเทนท์ที่ศาลมีคำสั่งปิด ไปโพสต์หรือแชร์ต่อ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังได้ทำความเข้าใจกับผู้ให้บริการเกี่ยวกับประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเรื่อง ขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูล คอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องระงับการแพร่หลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 14 (2) (3) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามคำสั่งศาลโดยรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีเหตุล่าช้าก็ต้องดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมง

พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าในการโพสต์ข้อมูลต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่กระทำผิดกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบัน ให้ความสำคัญและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด โดยนอกเหนือจากเจ้าของบัญชีโซเชียลซึ่งเป็นผู้เผยแพร่โดยการโพสต์/แชร์ข้อมูลเท็จ และเนื้อหาที่กระทบความมั่นคงแล้ว กรณีที่ศาลมีคำสั่งปิดกั้นข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลที่กระทบความมั่นคง แต่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต(ไอเอสพี) และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่ให้ความร่วมมือ เท่ากับเป็นการรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดก็จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอม และตระหนักว่าขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายต้องใช้เวลา และตัวผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต/แพลฟตอร์มล่าช้า ต้องมีการประสานให้ดำเนินการให้เร็ว อีกทั้งมีข้อปัญหาทางเทคนิค ยกตัวอย่าง เฟซบุ๊ก ที่ไม่ปิดกั้นให้ครบทุกยูอาร์แอลตามที่มีคำสั่งศาล เป็นต้น ดังนั้น จึงเตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินการ และศึกษาในการแก้ไขกฎหมายควบคู่กัน เพื่อให้ปัญหาเฟคนิวส์สร้างความเสียหายหมดไปโดยเร็วที่สุด

“หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้าข่ายการกระทำความผิด ตามมาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิด ตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิด ตามมาตรา 14 ให้รัฐมนตรีออกประกาศกําหนดขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทําให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการนําข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ถ้าผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าตนได้ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามวรรคสอง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ” นายชัยวุฒิกล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

Avatar photo