COVID-19

หยุดโควิด! ชมรมแพทย์ชนบท แนะล็อกเป้ายิง เทวัคซีนแอสตร้าฯ หมดหน้าตักที่ กทม.-ปริมณฑล

หยุดโควิด ชมรมแพทย์ชนบท แนะถมวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ล็อตมิถุนายน ทั้ง 1.8 ล้านโดส ลงพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล 3 จังหวัด อย่ากระจายเป็นเบี้ยหัวแตก

เพจเฟซบุ๊กชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ หยุดโควิด ชมรมแพทย์ชนบท แนะบริหารจัดการวัคซีนให้ตรงจุด ขอให้ ศบค.นำวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด 1.8 ล้านโดส ที่ผลิตได้จากสยามไบโอไซแอนในเดือนมิถุนายนนี้ เทหมดหน้าตักถมลงที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3 จังหวัด เป็นการเลือกเป้าที่จะยิง ไม่ใช่กระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก และรัฐบาลต้องกล้าหาญเอาการเมืองออกจากวัคซีน โดยระบุว่า

หยุดโควิด ชมรมแพทย์ชนบท

ข้อเสนอใหม่ “หยุดระบาดโควิดให้ตรงจุด ถมวัคซีนแอสตร้าหมดหน้าตัก ที่กรุงเทพและปริมณฑล

การระบาดระลอก 3 นั้น มีการระบาดหนักที่สุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดระลอก 3 ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 30 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยโควิดทั้งสิ้น 100,412 คน อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัดถึง 60,781 คน หรือคิดเป็น 60% ของทั้งประเทศ

การยุติการระบาดในเมืองหลวงนั้น ปัจจุบันทำได้แค่ยืนพิงเชือกอย่าให้ล้ม รอวัคซีนมาช่วย แต่เมื่อวัคซีนมาน้อย แอสตร้าเซเนก้าไม่มาตามนัด ซิโนแวคก็ต้องกระจายทั่วประเทศ ไฟเซอร์โมเดิร์นนายังไม่ แม้แต่ส่งเงินไปจองวัคซีน ซิโนฟาร์มจะมาล็อตใหญ่ได้แค่ไหนยังไม่รู้ การยุติการระบาดในกรุงเทพ จึงไม่เห็นอนาคต

ที่สำคัญ กรุงเทพและปริมณฑล มีระบบการสาธารณสุขที่อ่อนแอที่สุดในประเทศ คือ มีแต่ระบบโรงพยาบาลที่ไว้รับดูแลยามป่วย ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ และไม่มีระบบบริการปฐมภูมิที่ดี ที่จะทำหน้าที่ควบคุมโรค แค่การระบาดในคลองเตย ใครจะแจกแจงข้อมูล สอบสวนโรค คัดแยกกลุ่มเสี่ยง ทำ swab ตรวจโควิด เอาคนป่วยไปรักษา เอาคนเสี่ยงไปกักตัว ซึ่งในความเป็นจริงนั้น แทบจะทำไม่ไหว สิ่งที่ทำได้คือ การเปิดโรงพยาบาลสนาม เพื่อรอรับคนป่วยมารักษาเท่านั้น

เมื่อกรุงเทพระบาด ธุรกิจทยอยปิดตัว พนักงานก็ลำบาก ต่างเดินทางกลับต่างจังหวัด อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกิน จึงเป็นการส่งออกเชื้อโควิดไปทั่วประเทศ ดังนั้น หากไม่สามารถหยุดการระบาด ที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ ต่างจังหวัดก็ยังเสี่ยงต่อไป

แพทย์ชนบท 2

ทางเลือกหนึ่ง เพื่อการยุติการระบาดของโควิดระลอก 3 ด้วยข้อจำกัดที่วัคซีนมีน้อยมาก ก็คือ ต้องเลือกเป้าที่จะยิง ไม่ใช่ยิงกระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก และรัฐบาลต้องกล้าหาญ เอาการเมืองออกจากวัคซีน

ชมรมแพทย์ชนบท จึงมีข้อเสนอใหม่สำหรับรัฐบาล ขอให้ ศบค.นำวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าทั้งหมด ราว 1.8 ล้านโดส ที่ผลิตได้จากสยามไบโอไซแอนในเดือนมิถุนายนนี้ เทหมดหน้าตักถมลงที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3 จังหวัด อาทิ จัดให้กรุงเทพมหานคร 9 แสนโดส เพื่อกระจายลงในเขตที่มีการระบาด และจัดไปที่ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ จังหวัดละ 3 แสนโดส ฉีดให้เสร็จใน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดการระบาดลงได้มาก

บทเรียนจากแม่สอดพบว่า ที่นั่นได้ฉีดวัคซีนเพียง 30% ก็มี herd immunity พอที่จะไม่ระบาดใหญ่แล้ว ส่วนจะให้ถึง 70% นั้น คงยาก ในภาวะที่ไทยเราที่มีวัคซีนในมือน้อยเช่นนี้

ทำไมต้องเป็นแอสตร้าเซนเนก้า ก็เพราะวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เกิดภูมิคุ้มกันหลังการฉีดเข็มแรกถึงมากกว่า 80% ในขณะที่วัคซีนซิโนแวค ต้องรอหลังเข็ม 2 จึงจะเกิดภูมิในระดับที่ใกล้เคียงกัน

แต่เมื่อคนจองหมอพร้อมไว้ เขาก็รอแอสตร้าฯอยู่ รัฐบาลจะพร้อมไหม ที่จะอธิบายทำความเข้าใจสื่อสารกับคนไทยทั้งประเทศ ให้เห็นถึงความจำเป็นนี้ หากนี่คือหนทางที่ใช่ รัฐบาลก็ต้องกล้าตัดสินใจ กล้าแสดงภาวะผู้นำ และสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนในภาวะวิกฤติ

แต่หากยังบริหารแบบตามใบจองหมอพร้อม และระบบ MOPH IC วัคซีนก็จะถูกกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก ถูกฉีดในกลุ่มคนที่ลงทะเบียนไว้ ซึ่งกลุ่มใหญ่อยู่ต่างจังหวัดที่มีการระบาดน้อย ทำให้วัคซีนที่มีค่ายิ่ง ไม่ถูกใช้เพื่อดับไฟโควิดในจุดสำคัญ

ส่วนวัคซีนซิโนแวคที่มีมาเสริม ก็กระจายไปทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใครที่ลงหมอพร้อมไว้ หากยินดีรับ ซิโนแวค ก็รับไป หากไม่ยินดีก็ต้องรอ เพราะวัคซีนแอสตร้าฯ เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในวันนี้ที่เรามี ในการยุติการระบาดในพื้นที่สีแดง

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเอาการเมืองออกจากวัคซีน หยุดการที่ สส.แต่ละจังหวัด เข้ามาตอดขอวัคซีน หรือ จัดสรรลงในจังหวัดที่หวังเก็บคะแนน เพื่อการเลือกตั้งที่ใกล้จะถึง มิถุนายน คือ เดือนชี้อนาคต หากควบคุมการระบาดไม่อยู่ กรุงเทพอาจต้องล็อกดาวน์เป็นเมืองร้าง การระบาดอาจลามไปทั่วประเทศ เช่นเดียวกับมาเลเซีย

“กระสุนมีจำกัด หยุดระบาดโควิดให้ตรงจุด ถมวัคซีนแอสตร้าฯ หมดหน้าตัก ลงที่กรุงเทพและปริมณฑล 3 จังหวัด (นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี)” นี่คือข้อเสนอของชมรมแพทย์ชนบท ที่หวังว่ารัฐบาลและสังคมไทย จะร่วมผลักดันให้เป็นจริง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo