COVID-19

‘ดีอีเอส’ ไม่ทน! ฟันยกก๊วน ‘แอคแคป-ดวงฤทธิ์’ ปั่นข่าวซิโนฟาร์ม

“ดีอีเอส” รวบรวมหลักฐาน  ดำเนินคดีถึงที่สุด “แอคเคปฯ-ดวงฤทธิ์” ปมปั่นข่าวซิโนฟาร์ม 20 ล้านโดส  ล่า 2 กก.บห. ลงนามหนังสือ ชี้ “ดวงฤทธิ์” จงใจสร้างความสับสนหลายหน รัฐปฏิเสธแล้ว ยังคุยคลับเฮาส์ต่อ  เชื่อทำเป็นขบวนการ ตั้งใจดิสเครดิตรัฐบาล 

จากกรณีที่มีการ เผยแพร่จดหมายจาก บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ซึ่งระบุตัวเองว่า เป็นพันธมิตรผู้เดียว ในประเทศไทย ของบริษัท TELLUS AGROTECH PTE. LTD. ผู้จัดจำหน่าย วัคซีนซิโนฟาร์ม ในภูมิภาคเอเชีย  ส่งถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เรื่อง การเสนอขายวัคซีนต้านโควิด-19 ยี่ห้อ SINOPHARM จากบริษัท TELLUS AGROTECH PRIVATE LIMITED จำนวน 20 ล้านโดสนั้น

576406

วันนี้ (29 พ.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) ตรวจสอบเบื้องต้น กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า แอคแคป แอสเซ็ทส์ ไม่มีชื่อยื่นขึ้นทะเบียนนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์ม รวมทั้งยังจดทะเบียนทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีคุณสมบัตินำเข้ายา และเวชภัณฑ์ และไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ผลิตวัคซีนซิโนฟาร์มจริง

ภายหลังปรากฏเป็นข่าว ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ก็ได้ปฏิเสธ พร้อมชี้แจงแล้วว่า ลักษณะของบริษัทไม่น่าเชื่อถือ และไม่มี Dossier หรือเอกสารประกอบรายการประกอบยา และการผลิตจากบริษัทเจ้าของวัคซีน เพื่อมาใช้ขอใบอนุญาตต่อ อย. แต่อย่างใด

ดังนั้น หนังสือฉบับดังกล่าวนั้น จึงเป็นข้อความที่บิดเบือน และทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน เป็นการกระทำที่เข้าข่าย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) เช่นเดียวกับผู้ที่นำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่ หรือส่งต่อ ก็จะเข้าข่ายมีความผิดเช่นกัน

“ดีอีเอส กำลังประสานข้อมูลกับ บก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์) รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรวบรวมหลักฐานแล้ว และดำเนินการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวกรรมการผู้จัดการผู้ลงนามทั้ง 2 รายในหนังสือมาให้ข้อมูล และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือฉบับดังกล่าว เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีบุคคล และกลุ่มบุคคล นำไปวิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวหาในทำนองว่า รัฐบาลมีการเรียกรับผลประโยชน์ จากการขึ้นทะเบียน และจัดหาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเข้าข่ายการหมิ่นประมาท และเสนอข้อมูลเท็จ อย่างชัดเจนเช่นกัน เพราะการขึ้นทะเบียน และนำเข้าวัคซีน มีระเบียบขั้นตอนการดำเนินการตามช่องทางกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าพบใครเป็นพิเศษ

น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา เกิดความพยายามในการตั้งประเด็นโจมตีการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงขึ้น มองได้ว่า มีการวางแผนเป็นขบวนการเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลหรือไม่

เห็นได้ชัดจากกรณี แอคแคป แอสเซ็ทส์ ที่ผู้เกี่ยวข้องในส่วนของภาครัฐ ต่างออกมาปฏิเสธไปแล้ว แต่ทราบว่า เมื่อคืนวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก และแกนนำกลุ่มแคร์ คิดเคลื่อนไทย ที่มักร่วมกิจกรรมทางการเมือง กับพรรคเพื่อไทย นำไปพูดคุยแสดงความคิดเห็น ผ่านแอปพลิเคชันคลับเฮาส์

โดยมีเนื้อหาสาระ ให้เกิดความสับสนขึ้นในสังคม ตลอดจนสร้างความเสียหายให้แก่รัฐบาล และผู้เกี่ยวข้อง มีการพูดถึงขั้นว่า มีคนเรียกค่าพาเข้าพบนายกรัฐมนตรี กับบริษัทดังกล่าว เพื่อให้มีช่องทางเจรจานำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยแลกกับเงิน 5 ล้านบาทอีกด้วย

ทั้งเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้ นายดวงฤทธิ์ ก็เคยทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์อ้างว่า มีรุ่นน้องที่รู้จักกัน พยายามนำวัคซีนซิโนฟาร์ม 20 ล้านโดสให้รัฐบาล และระบุว่า “ประสานไปที่คนของรัฐบาลทุกช่องทางแล้ว มันถามหาผลประโยชน์ตอบแทนกันก่อนหมดเลย”

จนมีผู้มารีทวิต หรือเผยแพร่ข้อความต่อจำนวนมาก และยังมีหลักฐานว่า มีความสนิทสนมกับนายกรกฤษณ์ กิติสิน หนึ่งในผู้บริหารของ แอคแคป แอสเซ็ทส์ ด้วย หรือเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ทวีตในทำนองว่า มีคนบางกลุ่มได้สิทธิซื้อวัคซีนโควิด-19 แล้ว ทั้งที่กระบวนการทุกอย่าง เปิดเผยโปร่งใสโดยตลอด

“ทั้งการที่บริษัท แอคแคป ถูกเปิดโปงว่า ไม่ใช่ผู้แทนซิโนฟาร์มจริง และการทวีตข้อความในประเด็นเดียวกันล่วงหน้าของคุณดวงฤทธิ์ ทำให้สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า อาจเป็นขบวนการเดียวกัน ที่ต้องการสร้างความสับสน และดิสเครดิตรัฐบาล เรื่องนี้กระทรวงดีอีเอสได้รวบรวมหลักฐานการเผยแพร่ข้อความในแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมทั้งการพูดคุยใน แอปคลับเฮาส์ล่าสุดไว้ทั้งหมดแล้ว ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายทำการสรุปว่า มีผู้กระทำผิดกี่รายอย่างไรบ้าง เพื่อดำเนินคดีอย่างเร่งด่วนต่อไป” 

นายชัยวุฒิ เปิดเผยด้วยว่า การที่ออกมาโพสต์ว่า มีการเรียกเงิน 5 ล้านบาท หรือมีการเรียกผลประโยชน์จากการจัดหาวัคซีนโควิด-19 นั้น หากมีหลักฐานยืนยันชัดเจน ก็เปิดเผยได้อยู่แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเป็นการแอบอ้างหาประโยชน์ ซึ่งไม่สมควรให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาการระบาดโควิด-19

แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน เป็นการพูดลอย ๆ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อดิสเครดิตนายก ฯ และรัฐบาล เท่ากับเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย คนเหล่านี้ก็มักจะออกมาเรียกร้องว่า เป็นการละเมิดสิทธิ ปิดหูปิดตาประชาชน ซึ่งเป็นรูปแบบของขบวนการเฟคนิวส์ และต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม

“เชื่อว่าสังคมพอจะเข้าใจถึงเจตนาของกลุ่มคนดังกล่าว หลายคนก็เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล และนิยมชมชอบกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม จุดยืนทางการเมืองของคุณดวงฤทธิ์ก็ชัดเจน พอถูกจับได้ไล่ทัน ก็อ้างว่า ชนตอ มีอันตรายถึงตาย ไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้อีก ทั้งที่หากไม่มีเจตนาก็ควรออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เหมือนมีเจตนาให้สังคมสับสนไปเรื่อยๆ ซึ่งกรณีของคุณดวงฤทธิ์ ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังรวบรวมหลักฐาน และจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดแน่นอน”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo