Politics

ศาลชี้ชัด ‘ต้องระมัดระวัง’ ไม่ละเมิดสิทธิพื้นฐาน กรณี ‘ย้าย-พยายามตรวจโควิด’ 3 ราษฎรกลางดึก

ศาลตัดสินชัดเจน ราชทัณฑ์ “ย้าย-พยายามตรวจโควิด” 3 เเกนนำราษฎรกลางดึก ไม่คำนึงสิทธิผู้ต้องขัง บนสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ที่อารยประเทศให้การรับรอง ขาดความระมัดระวังอันควร

วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 812 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งกรณีนายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ยื่นคำร้องต่อศาลขอคุ้มครองความปลอดภัยชีวิต ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยศาลเบิกตัวนายอานนท์ จากเรือนจำมาฟังคำสั่ง

news kBuvsOgyNz140435 533

ศาลพิเคราะห์ประการเเรกว่า ศาลมีอำนาจรับไว้ไต่สวนหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 28 บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพในชีวิตร่างกายของบุคคลไว้ และมีบทบัญญัติประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 อันเป็นบทบัญญัติให้ศาลตรวจสอบว่า การคุมขังชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคล

การดำเนินการของรัฐ จึงต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกควบคุม หรือขังเป็นสำคัญ เมื่อมีการอ้างว่า บุคคลใดถูกคุมขังในคดีอาญา หรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ถือว่ามีมูล ที่ศาลจะดำเนินการรับคำร้อง และดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวได้ และศาลสามารถพิจารณาเหตุในการคุมขังตลอดจนพฤติการณ์ และขั้นตอนการคุมขัง ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์ สมเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลดังกล่าว

นอกจากนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 25 ยังบัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลที่จะยกบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิของรัฐธรรมนูญขึ้นอ้างในศาลได้ จึงเห็นว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ให้ศาลตรวจสอบคุ้มครองให้การคุมขังเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมื่อผู้ร้องอยู่ในฐานะจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาซึ่งถูกคุมขังโดยไม่ได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราว

เห็นว่า แม้ผู้ร้องกับพวก จะอยู่ภายใต้การคุมขังของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฯ กำหนดให้เรือนจำเป็นสถานที่ใช้ ในการควบคุมขัง หรือจำคุกผู้ต้องขัง เมื่อผู้ร้องเป็นจำเลยขังตามหมายของศาล เจ้าพนักงานเรือนจำสามารถใช้อำนาจควบคุมผู้ต้องขังได้เพียงเท่าที่จำเป็น และเหมาะสม กับพฤติการณ์ เพื่อจัดการบังคับให้เป็นไปตามหมายขัง

ศาลจึงมีหน้าที่ดูเเลผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรับรองคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย หากศาลละทิ้งหน้าที่นี้ ย่อมจะทำให้ขาดองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติธรรม ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าผู้ร้องอาจจะได้รับอันตรายแก่ชีวิตและร่างกาย

ศาลอาญาซึ่งเป็นผู้ออกหมายขังจำเลยไว้ระหว่างพิจารณา จึงสามารถรับคำร้องและดำเนินการไต่สวน รวมทั้งมีอำนาจเบิกตัวผู้ร้องและหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องอื่นมาดำเนินการไต่สวนให้ทราบถึงพฤติการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ตามคำร้องได้

S 65814558

ปัญหาที่ต้องพิจารณาประการต่อไปมีว่า ผู้ร้องถูกข่มขู่คุกคาม อันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต และร่างกายตามร้องหรือไม่

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ประกอบการเปิดภาพเคลื่อนไหว จากกล้องวงจรปิด บริเวณห้องขังได้ความว่า เมื่อเวลา 21.30 น. มีการแจ้งให้ผู้ร้องกับพวกทราบว่า จะนำจำเลยทั้ง 3 ไปแยกคุมขังไว้ที่เรือนพยาบาล แต่ผู้ร้องกับพวกไม่ยินยอม

รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีความเห็น ให้นำวิธีทางการแพทย์มาใช้ เป็นมาตรการในการดำเนินการ จัดทีมบุคลากรทางการแพทย์ ตรวจหาสารคัดหลั่ง เพื่อหาเชื้อไวรัสโคโรน่า มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และสั่งการให้เจ้าพนักงานเรือนจำในกลุ่มเรือนจำลาดยาว จัดทีมมาสนธิกำลังร่วมปฏิบัติการ ต่อมาเวลาประมาณ 23.35 น. เจ้าพนักงานเรือนจำบุคลากรทางการแพทย์เดินทางถึง แต่ผู้ร้องกับพวกไม่ยินยอม จึงกลับออกไป

กระทั่งเวลา 00.05 น. ของวันที่ 16 มีนาคม 2564 เจ้าพนักงานเรือนจำ และบุคลากรทางการแพทย์ชุดเดิม กลับมายังห้องขังอีกครั้ง พร้อมชุดตรวจหาเชื้อ พร้อมแจ้งว่าให้ผู้ต้องขังภายในห้องขังทุกคน เข้ารับการตรวจหาเชื้อ ผู้ร้องกับพวกทั้ง 7 ยังคงปฏิเสธ โดยแจ้งว่า จะขอเข้ารับการตรวจในช่วงเช้า ส่วนผู้ต้องขังอื่นอีก 9 ราย ยินยอม เเละดำเนินการแยกตัวผู้ต้องขังทั้ง 9 รายที่ตรวจหาเชื้อออก

ต่อมาเวลา 02.10 น. เจ้าพนักงานเรือนจำแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีกากี 5 คน และเจ้าพนักงานเรือนจำกลุ่มลาดยาว แต่งกายด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษสีกรมท่า 5 คน กลับมายังห้องขัง พร้อมแจ้งจะนำตัวผู้ร้องกับพวก ไปแยกคุมขังไว้ที่เรือนพยาบาล แต่ผู้ต้องขังทั้ง 7 คนไม่ยินยอม มีการเจรจาจนถึงเวลา 02.19 น.

เห็นว่าตั้งเเต่เวลา 21.30-02.30 น. เจ้าพนักงานเรือนจำเข้าพูดคุย กับผู้ร้องและพวกอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งต่างกระทำโดยมิได้มีท่าทีข่มขู่คุกคาม หรือใช้ความรุนแรง ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ 5 คน ที่เดินทางไปพร้อมกับนพ.วีระกิตต์ ล้วนแต่งกายด้วยเครื่องแบบบุคลากรทางการแพทย์ และเป็นเพศหญิงถึง 4 คน มีการจัดเตรียมชุดเก็บสารคัดหลั่งหลังโพรงจมูก และชุดอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยส่วนบุคคล

เชื่อว่าการอำนวยการปฏิบัติงานเป็นการดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด และต้องการแยกตัวจำเลยทั้ง 3 ไปคุมขังในสถานที่อื่น โดยมิได้มีความมุ่งหมาย ที่จะข่มขู่คุกคาม หรือทำอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องกับพวก เป็นบุคคลที่ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดี ซึ่งถูกจำกัดเสรีภาพในร่างกายบางประการ โดยวัตถุประสงค์เพียงเพื่อป้องกัน มิให้ผู้ต้องขังหลบหนีไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่ออันตรายประการอื่น

ผู้ร้องกับพวก และผู้ต้องขังอื่น ยังคงเป็นพลเมืองไทย ย่อมได้ความรับรองคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ คงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิทธิที่ถือติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการอย่างเท่าเทียมกัน เฉกเช่นเดียวกับปวงชนชาวไทยทั้งปวง การนอนหลับพักผ่อน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งในการดำรงชีพ และดำเนินชีวิตอันเป็นปกติของบุคคลทั่วไป

159270952 5201327419908612 2209236558051804446 o

เมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีมาตรการปิดโทรทัศน์ในช่วงเวลา 21.30 น. อันเป็นสัญลักษณ์แสดงนัยยะว่า ถึงช่วงเวลาในการพักผ่อน เรือนจำจึงต้องยึดถือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนที่ดำเนินมา โดยจัดให้ผู้ต้องขังได้มีช่วงเวลาพักผ่อนที่เหมาะสมเพียงพอ ไม่ถูกล่วงละเมิดเกินสมควร ผู้ร้องกับพวก ในฐานะเป็นผู้ต้องขังคนหนึ่งย่อมต้องได้รับการปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับผู้ต้องขังอื่น

การเข้าตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดก็ดี การเปลี่ยนสถานที่คุมขังของผู้ต้องขังก็ดี พึงกระทำในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม การดำเนินการใด ๆ หลังช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงกระทำได้แต่เฉพาะปรากฏเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องกับพวกได้รับการคัดกรองโรคเบื้องต้น โดยตรวจวัดอุณหภูมิถึง 3 ครั้งจนผ่านเกณฑ์แล้ว แม้จะถูกย้ายตัวมาจากเรือนจำพิเศษธนบุรี ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค แต่ก็เป็นการเคลื่อนย้ายนักโทษระหว่างเรือนจำ กับเรือนจำ ซึ่งต่างล้วนแต่มีมาตรการคัดกรองในระดับสูง

กรณีนี้จึงยังไม่ปรากฏเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งรีบ หรือเร่งด่วน ถึงขนาดต้องดำเนินการแยกตัวผู้ร้องกับพวก ออกจากผู้ต้องขังอื่น หรือเร่งตรวจหาเชื้อไวรัสให้แล้วเสร็จภายในคืนนั้น หากปล่อยให้ระยะเวลาผ่านพ้นไปอีก 3 ชั่วโมงก็จะถึงรุ่งเช้า ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาปกติ ที่สามารถดำเนินการได้ โดยไม่กระทบต่อการพักผ่อนของผู้ต้องขัง

การกระทำของเจ้าพนักงานเรือนจำ แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นการล่วงละเมิดต่อกฎหมาย แต่ก็ถือเป็นการกระทำโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม บนสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ชน เเละอารยประเทศ ให้การรับรองและคุ้มครอง การดำเนินการตรวจร่างกายผู้ต้องขัง หรือย้ายสถานที่คุมขัง หรือกระทำการใด กรมราชทัณฑ์จึงต้องดำเนินการช่วงเวลาที่เหมาะ สมควร เเละเป็นไปตามระเบียบ และแนวทางปฏิบัติ ที่ไม่กระทบกระเทือนต่อติดสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการใช้ชีวิตในฐานะผู้ต้องขัง

ศาลเห็นว่า การดำเนินการของเจ้าพนักงานเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง อันกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องกับพวกเท่าที่ควร และเห็นควรให้เจ้าพนักงานเรือนจำที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่โดยใช้ความระมัดระวัง เพื่อให้ผู้ร้องกับพวก ได้รับความคุ้มครองสิทธิที่กฎหมายรับรอง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo