โควิดหยุดโลก – แช่แข็งประเทศ!
“โคโรนาไวรัส 2019” หรือ โควิด-19 (COVID-19) ไวรัสร้ายที่สร้างความสะเทือนไปทั่วโลก วิกฤติครั้งนี้เริ่มจาก “อู่ฮั่น” ประเทศจีน ก่อนระบาดหนักไปทั่วโลก จนเกิดมาตรการล็อกดาวน์ (Lock Down) ปิดประเทศ เพื่อเซฟตัวเองจากไวรัสร้าย
“โควิด” เริ่มบุกเข้าประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 จากแก๊งนักเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ สนามมวยลุมพินี ก่อนกระจายไปทั่วเมือง จนรัฐบาลต้องตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) มีเพื่อต่อสู้
เมื่อสถานการณ์เริ่มวิกฤติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร จากการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อยกระดับควบคุมการแพร่ระบาดครั้งแรก ตั้งแต่ 26 มีนาคม 2563 และได้มีการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ประกาศ “เคอร์ฟิว” ทั่วประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 โดยห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 22.00 – 04.00 น. ทั่วราชอาณาจักร โดยสิ้นสุดมาตรการ ในคืนวันที่ 14 มิถุนายน 2563
แม้ประเทศไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี จนได้รับคำชื่นชมจาก “องค์การอนามัยโลก” แต่เมื่อ “แก๊งสาวท่าขี้เหล็ก” หอบ “โควิด” แอบหนีเข้าประเทศมา ส่งผลให้วิกฤติครั้งใหม่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จนลามมาถึงกรณี “ตลาดกุ้ง” จ.สมุทรสาคร บ่อนพนัน จ.ระยอง ดันยอดผู้ติดเชื้อพุ่ง จนหลายฝ่ายกังวลว่า “โควิด” จะแช่แข็งประเทศไทยอีกครั้งหรือไม่
“การบินไทย” เจอวิกฤติของจริง ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ
ในปี 2563 “การบินไทย” ถูกโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ซ้ำเติมผลประกอบการที่ขาดทุนหนักต่อเนื่องมานานหลายปี ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีเงินไม่พอจ่ายหนี้ 3.5 แสนล้านบาทและต้องรีบผ่าตัดใหญ่โดยด่วน
หลังจากตบตีเรื่องวิธียื้อชีวิตการบินไทยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ฟันธงจะไม่นำเงินภาษีไปอุ้มสายการบินแห่งชาติ แต่ก็ไม่ปล่อยให้บริษัทล้มละลาย ลอยแพพนักงาน โดยรัฐบาลเลือกทางสายกลางให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ พ.ร.บ.ล้มละลาย และเปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน
เมื่อเลือกทางเดินเรียบร้อยแล้ว การบินไทยก็นับหนึ่งเข้าสู่กระบวนฟื้นฟูที่แสนยาวไกล ในระหว่างนี้ก็ต้องพยายามลดต้นทุนต่างๆ เพื่อรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้อยู่ได้นานที่สุด ซึ่งรวมถึงการเปิดโครงการสมัครใจจากเพื่อลดพนักงานล็อตใหญ่เกือบ 5 พันคน
จากโลกออนไลน์ สู่ม็อบบนถนนจริง “เยาวชน” ออกมาเรียกร้องทางการเมือง
ความไม่พอใจรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ตั้งแต่สมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลเลือกตั้ง ได้ปะทุออกจากโลกออนไลน์ กลายเป็น “ม็อบทางการเมือง” บนท้องถนนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเยาวชนเป็นแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มเยาวชน
ประเด็นหลัก 3 ข้อที่มีการเรียกร้องคือ 1.ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก, 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 และ 3.ปฏิรูปสถาบัน ซึ่งข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญดูเหมือนจะมีการตอบรับจากรัฐบาลและผู้มีอำนาจมากที่สุด
ในการชุมนุมยังได้เกิดการปะทะใหญ่ระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมบริเวณแยกปทุมวันและหน้ารัฐสภา รวมถึงทำให้สังคมแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอีกครั้ง ขณะเดียวกันความวุ่นวายที่เกิดขึ้นส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าจะนำกฎหมายทุกข้อมาบังคับใช้และมีแกนนำม็อบหลายคนถูกฟ้องด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112
รัฐบาลสายเปย์ แจกหนัก พยุงเศรษฐกิจ
จากวิกฤติโควิดที่แช่แข็งเศรษฐกิจประเทศไทยให้เกิดภาวะชะงักงัน ตามมาด้วยความหายนะทางเศรษฐกิจ ที่สร้างความสั่นสะเทือนตั้งแต่ยาจกยันเจ้าสัว ท่องเที่ยวพัง โรงแรมเจ๊ง เพราะนักท่องเที่ยวหายไปในชั่วพริบตา คนตกงานพุ่ง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการแก้วิกฤติทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ โดยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน
อาทิ โครงการช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน, โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” แจกเงิน 5,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน, โครงการเยียวยาเกษตรกร, โครงการเยียวยากลุ่มผู้เปราะบาง, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการที่ปังสุด ๆ จนรัฐบาลต้องออกเฟส 2 คือ โครงการคนละครึ่ง โดยเฟสแรกแจกเงิน 3,000 บาทให้ประชาชนทั่วไป จำนวน 10 ล้านคนไปช้อปปิ้ง โดยภาครัฐจะร่วมจ่าย 50% และไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน โดยล่าสุดรัฐบาลได้ประกาศลงทะเบียนเฟส 2 แจกเงินให้ประชาชนเพิ่มเป็น 3,500 บาท โดยรัฐบาลจ่อเปิดลงทะเบียนรอบใหม่อีกกว่า 1 ล้านสิทธิ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกแพ็คเก็จพิเศษ 1.9 ล้านล้านบาทสู้วิกฤติโควิด โดยใช้ 6 แสนล้านบาทในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ, เกษตรกร และดูแลด้านสาธารณสุข อีก 4 แสนล้านบาท ใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เน้นที่ชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น และส่วนที่เหลือเป็นมาตรการด้านการเงิน
‘ไอ้ไข่’ ฟีเวอร์ ศรัทธาแรงกล้าในช่วงวิกฤติ
“ไอ้ไข่วัดเจดีย์” หรือ “ตาไข่วัดเจดีย์” คือรูปไม้แกะสลักของเด็กชายอายุประมาณ 9-10 ขวบ ตั้งอยู่ในวัดเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ วัดแห่งนี้ เดิม “ไอ้ไข่” เด็กวัดเจดีย์ เป็นที่รู้จักกันแต่ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น แต่ปัจจุบัน “ไอ้ไข่” โด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากมีกระแสความศักดิ์สิทธิ์ โดยจุดสร้างชื่อของ “ไอ้ไข่” คือ “ขอได้ไหว้รับ” เสริมการค้าขาย บันดาลโชคลาภ
ในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิดเช่นนี้ “ไอ้ไข่” ถือเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทุกคนที่เลื่อมใส และยังได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนครให้คึกคักอย่างต่อเนื่อง ความศรัทธาที่มีต่อ ไอ้ไข่วัดเจดีย์ หรือ ตาไข่วัดเจดีย์ มีอย่างล้นหลามและต่อเนื่อง โดยงานกฐินครั้งล่าสุด มียอดกฐินสูงถึง 56,552,782.69 บาท ซึ่งถือว่าสูงมากเกินคาดการณ์
999997 หวยครั้งประวัติศาสตร์ 232 ปีมีครั้ง
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาลโลกตะลึง! เมื่องวดวันที่ 1 กันยายน 2563 ผลการออกรางวัลที่ 1 โดยเลขที่ออกคือ 999997 ทำเอาช็อกกันทั้งประเทศ แม้แต่เพจเฟซบุ๊ก คณิตศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น ยังไล่คำนวนโอกาสลักษณะนี้มีเพียงแค่ 0.00018 หรือ 9/50000 ซึ่งคำนวณมาจาก (10x9x2)/1000000 เท่านั้น ซึ่ง 1 ปีหวยออก 24 งวด ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้วคุณจะต้องรอไปอีกราว 232 ปีถึงจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก!!
อย่างไรก็ตาม แม้การออกสลากรางวัลครั้งนี้ จะถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ แต่ก็มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเช่นกัน อาทิ นายเริงศักดิ์ สิริสงคราม อายุ 45 ปี นายตรวจรถไฟ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 ถึง 10 ใบ มูลค่า 60 ล้านบาท
สารสาสน์ สะท้อนระบบการศึกษาไทย
ปัญหาที่กลายเป็นข่าวดัง และสะท้อนภาพของวงการการศึกษา ว่า ค่าเทอมแพงไม่ใช่โรงเรียนที่ดีเสมอไป จนกลายเป็นข่าวเด่นในรอบปี 2563 คงหนีไม่พ้นข่าว ครูพี่เลี้ยง โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์ ทำร้ายเด็กอนุบาล เมื่อมีการเผยแพร่คลิปภาพกล้องวงจรปิด พบภาพ น.ส.อรอุมา ปลอดโปร่ง” หรือ “ครูจุ๋ม” ครูพี่เลี้ยง ประจำชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ก่อเหตุมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ทำร้ายเด็กอนุบาล ทั้งผลักเด็ก จับหัวดึงผม ใช้ไม้กวาดตีเด็ก โขกหัวเด็ก
เรื่องดังกล่าว สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้ปกครองที่ไว้วางใจให้ลูกหลาน เข้าเรียนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ อย่างมาก ทั้งในโรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์เอง และโรงเรียนในเครือสารสาสน์ ที่มีสาขาเครือข่ายถึง 49 สาขา ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีนักเรียนนักศึกษาในเครือข่ายกว่า 90,000 คน ที่สำคัญคือ เป็นโรงเรียนที่มีค่าเทอมแพงติดอันดับ โดย ค่าเทอมในระดับชั้นเนิร์สเซอรีและอนุบาล อยู่ที่เทอมละประมาณ 17,000 บาท ส่วนระดับเกรด 1-12 เทอมละ 33,000-34,000 บาท
เหตุการณ์นี้ เป็นเครื่องสะท้อนว่า ถึงเวลาของการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย ในทุกระดับอย่างจริงจังและทั่งถึงได้แล้ว
ปิด Pornhub
ในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากจะมีการชุมนุมของ “ม็อบราษฎร” เพื่อประท้วงรัฐบาล และขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งแล้ว ยังมีกลุ่มที่ออกมาชุมนุมเพื่อประกาศทวงคืน Pornhub เว็บโป๊ชื่อดังอีกด้วย หลัง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ได้สั่งการให้ระบบอินเทอร์เน็ต - มือถือทุกค่ายระงับการเข้าถึง Pornhub เว็บไซต์หนังโป๊ชื่อดัง เพราะถือว่าเป็นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเว็บไซต์นี้มีผู้ติดตามจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนัก
3 คดีโหดแห่งปี
ปี 2563 ถือเป็นปีที่คนไทยต้องเผชิญกับการก่อเหตุแบบเลือดเย็นแบบติดๆ กัน ที่ทั้งตกตะลึง สะเทือนขวัญ บีบหัวใจ และขวัญผวา กันไปทั้งประเทศ ตั้งแต่เรื่อง “ผอ.กอล์ฟ” หรือ “ประสิทธิชัย เขาแก้ว” ผู้ที่ทำเอาคนไทยทั้งประเทศถึงกับตะลึง เมื่อรู้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคร่าชีวิตผู้คน รวมถึง เด็กน้อยวัย 2 ขวบ ในการปล้นชิงทอง ที่จังหวัดลพบุรี รายนี้ เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนประถม โดยเขาถูกตั้ง 7 ข้อหา และศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต
ในเดือนเดียวกับที่ ผอ.กอล์ฟ ก่อเหตุนั้น คนไทยยังต้องตกตะลึงไปกับคดีของ “ไอซ์ หีบเหล็ก” หรือ “อภิชัย องค์วิศิษฐ์” เศรษฐีตระกูลเก่าแก่ ผู้ก่อเหตุฆาตกรรมโหดหญิงสาวหลายราย และนำศพไปถ่วงน้ำอำพรางคดี รวมถึง รายล่าสุดก่อนถูกจับ ที่ถูกขังไว้ในหีบเหล็กจนเสียชีวิต ตำรวจตั้ง 5 ข้อหากับไอซ์ โดยขณะนี้ตัดสินไปแล้ว 2 คดี คือ คดีมียาเสพติดไว้ในครอบครองและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 10 ปี 5 เดือน ปรับ 564,000 บาท และคดีกระทำชำเรา โดยมีอาวุธปืน ตัดสินจำคุก 11 ปี 4 เดือน และปรับ 5.8 แสน
ปิดท้ายด้วย คดีใหญ่แห่งปี 2563 “ทหารคลั่ง” จ.ส.อ.จักรพันธุ์ ถมมา อายุ 32 ปี ทหารหน่วยกองพันกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ก่อเหตุกราดยิง สร้างโศกนาฏกรรมกลางเมืองโคราช ที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้กว่า 30 ชีวิต ขณะที่ผู้ก่อเหตุถูกวิสามัญ ซึ่งสาเหตุลึก ๆ ของความรุนแรงครั้งนี้ เกิดจากความคับแค้นใจของนายทหารชั้นผู้น้อย ที่มีต่อผู้บังคับบัญชา
‘น้ำมัน-ทองคำ’ ทุบสถิติตั้งแต่มีการบันทึก
ราคาน้ำมันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดของอุตสาหกรรมน้ำมันโลก โดยราคาดิ่งลงต่ำสุดในเดือนเม.ย. หลังจากหลายประเทศประกาศล็อกดาวน์ ทั้งการเดินทางระหว่างประเทศและในประเทศ
ในวันที่ 20 เม.ย. ถือเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เมื่อราคาน้ำดิ่งลง ติดลบ 37.63 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากกำลังผลิตล้นตลาดมหาศาล จนไม่มีสต็อกจะเก็บ ทำให้ผู้ผลิตต้องขายออกในราคาติดลบ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในไม่กี่วันถัดมา เรียกว่าราคาต่ำสุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมน้ำมันโลก
แต่จากความร่วมมือของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ร่วมมือกันลดกำลังการผลิต อีกทั้งเริ่มมีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ทำให้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง ตามอุปสงค์และอุปทานโลก จนสิ้นปีราคาน้ำมันดิบสหรัฐ (WTI) ยืนอยู่แถว 50 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่เหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล
แต่ราคาน้ำมันก็ยังต่ำกว่าเมื่อระดับปลายปีที่ผ่านมาราว 20%
ราคาทองคำกลับทิศกับราคาน้ำมัน ทั้ง ๆที่เกิดจากปัจจัยเดียวกัน เมื่อนักลงทุนแห่ซื้อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทำให้ราคาเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดในจีนช่วงปลายปี 2562
ตั้งแต่ต้นปี 2563 ราคาทองคำเริ่มขยับขึ้นจากระดับ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ จากนั้นก็เร่งตัวขึ้นขึ้นในช่วงจังหวะเดียวกับราคาน้ำมัน “ดิ่งเหว” คือในเดือนเม.ย. 2563 และวิ่งขึ้นต่อเนื่องกันมายาว ๆ ไปแตะระดับสูงสุดที่ 2,067.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ทองคำโลก
แต่ราคาทองคำก็เริ่มปรับลง หลังจากเริ่มมีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในช่วงปลาย ๆ ปี 2563 แต่ราคาทองคำก็ยังเพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมากว่า 20%
อ่านข่าวเพิ่มเติมคลิก
- สรุป 10 ข่าวเด่น ประเด็นน่าจดจำ ‘ขนส่งมวลชนระบบราง’ ปี 2563
- 10 ข่าวเด่นการเมืองแห่งปี 2563 เริ่มตั้งแต่ยุบพรรคจนถึงวาทะเด็ด ‘บิ๊กตู่’
- ’10 ข่าวเด่นธุรกิจ’ แห่งปี ผลกระทบโควิด-19 ปีแห่งความยากลำบาก