General

‘อเมริกันอันตราย’ สว.สหรัฐแทรกแซงไทย ‘อัษฎางค์’ เตือนอย่าชักศึกเข้าบ้าน

อเมริกันอันตราย “อัษฎางค์” เตือน อย่าชักศึกเข้าบ้าน หลังวุฒิสมาชิกสหรัฐ เสนอมติ เพื่อสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม หวังแทรกแซงไทย

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง โพสต์เพจเฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ถึงกรณีวุฒิสมาชิกสหรัฐ 9 คน ร่วมกันเสนอมติ กล่าวหาไทย ปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง ว่า เป็นการแทรกแซงประเทศไทย ใส่ความรัฐบาล พร้อมยกประวัติศาสตร์การแทรกแซงของสหรัฐ ในประเทศต่างๆ เตือนอย่าชักศึกเข้าบ้าน โดยระบุว่า

อเมริกันอันตราย

“เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. วุฒิสมาชิกสหรัฐ 9 คนร่วมกันเสนอมติ เพื่อสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในประเทศไทย หลังจากเกิดการเดินขบวนประท้วงของประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ และขบวนประท้วงของประเทศไทย”ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรง

เห็นได้ชัดว่า สว.อเมริกาตอแหล ใส่ความรัฐบาลไทย ด้วยการใช้มโนสำนึก ที่แปลว่า พูดเรื่องที่เกิดจากจิตนาการที่จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพื่อเพิ่มอรรถรส

เรื่องจริงคือ มีการประท้วงในประเทศไทย ส่วนมโนสำนึกของ สว.อเมริกันคือ ขบวนประท้วงของประเทศไทยถูกปราบปรามด้วยความรุนแรง

เป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ แต่ไม่รู้จักใช้เหตุและผลของความจริง ความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว แต่กลับมโนสำนึกทึกทักคิดไปเอง สร้างเรื่องขึ้นมาเอง เพื่อจุดประสงค์ใดคงเดาได้ไม่ยาก

หนึ่งใน 9 สว.กล่าวว่า

“ในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยไทย ถูกโจมตีมาเป็นเวลานาน เป็นเรื่องสำคัญที่ วุฒิสภาสหรัฐ จะยืนหยัดร่วมกับขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย”

นี่คือความชัดเจนว่า อเมริกา เข้าข้างฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งความจริงคนไทยรู้ดีว่า เป็นฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านประชาธิปไทยในประเทศไทย

อเมริกัน

เพราะความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวคือ ไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ สว.อเมริกัน มีมโนสำนึกเดียวกับ ม็อบคณะทรราษฎร์ ว่าเมืองไทย ไม่เป็นประชาธิปไตย

หนึ่งใน 9 สว.กล่าวว่า

“นักปฏิรูปประเทศไทย ไม่ต้องการการปฏิวัติ พวกเขาเพียงแค่ โหยหาการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นประชาธิปไตยในระบบการเมืองของประเทศของตน ให้มีเสรีภาพในการพูดและการชุมนุม

อะไรคือ การไม่มีเสรีภาพ ในการพูดและการชุมนุมตามที่ สว​​.อเมริกันมโน ทั้งๆ ที่ตัว สว.กล่าวเองว่า มีการเดินขบวนประท้วงในประเทศไทย ในเมื่อมีม็อบได้ก็แปลว่า ไทยเรามีเสรีภาพในการพูดและการชุมนุม มิใช่หรือ?

หนึ่งใน 9 สว.กล่าวว่า

“และเพื่อให้ประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของประชาคม ของประเทศประชาธิปไตย ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ไม่ให้ใช้ความรุนแรง หรือการคุกคาม โดยไม่จำเป็น”

ถ้าการใช้เฉพาะน้ำ ฉีดใส่ผู้ประท้วงของตำรวจไทย คือการใช้ความรุนแรง แล้วภาพ ตำรวจสหรัฐฯ ใช้แก๊สน้ำตา ใช้กระปองตีผู้ประท้วงโควิด ที่เกิดจากการที่ตำรวจสหรัฐฯ กระทำต่อคนผิวสีจนถึงความตายจนเป็นต้นเหตุให้เกิดการประท้วงใหญ่ทั่วประเทศ เรียกว่าอะไร?

หนึ่งใน 9 สว.กล่าวว่า

“ในขณะที่คนไทยถกเถียงกัน เรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ อนาคตทางการเมืองของพวกเขา ควรถูกกำหนดผ่านการเจรจาอย่าง “สันติ” ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง การคุกคาม หรือการกดขี่ข่มเหง”

ถ้าการที่ ม็อบคณะทรราษฎร์ หมิ่นประมาท ด้วยการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยคำด่าอย่างหยาบช้า ไม่ใช่การคุกคาม กดขี่ข่มเหง แต่เป็นการแสดงออกอย่างสันติแล้วไซร้

รัฐสภาสหรัฐฯ ควรจะออกกฎหมายกำหนดคำว่า สิทธิและเสรีภาพ ในการแสดงออกเสียใหม่ ให้ชาวอเมริกันสามารถหมิ่นประมาทผู้อื่น รวมทั้งสามารถหมิ่นประมาทผู้นำสหรัฐฯ ได้อย่างเสรี

ม็อบ 16 ตุลา ๒๐๑๑๐๙ 1

ไฮไลค์ที่เจ็บแสบที่สุด คือ คำพูดของ สว.สหรัฐ เชื้อสายไทย–อเมริกัน แทมมี ดักเวิร์ธ ที่นางกล่าวว่า

“ในฐานะคนไทย–อเมริกัน ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิในการประท้วง “อย่างสันติ” ที่บ้าน….

ดิฉันขอให้ผู้นำไทย รับฟังประชาชน และเคารพหลักการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลที่พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อก่อตั้ง”

ม็อบคณะทรราษฎร์ ไม่ได้ประท้วงอย่างสันติ และพวกเขาใช้ประชาธิปไตยบังหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะสิ่งที่เขาประกาศกับการแสดงออกในขบวนประท้วงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

กล่าวคือ ประกาศว่า ระดมพลประท้วง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่ไทยเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

แต่ในขบวนประท้วง มีแต่การให้ร้ายป้ายสี ดูหมิ่นเหยียบหยาม ขมขู่ ที่มุ่งเป้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนและโจ่งครึ่ม

นอกจากสหรัฐอเมริกา และประเทศมหามิตร เพื่ออภิมหาอำนาจ ในการแทรกแซงกิจการภายในประเทศต่างๆ แล้ว ไม่มีชาติใดในโลก มองมุมเดียวกันนี้ เหมือนสหรัฐฯและพันธมิตร และทุกประเทศในโลก ล้วนเข้าใจประเทศไทยดีว่าได้ exercise restraints ตลอดเวลา

ด้วยการใช้ขั้นตอน การบริหารจัดการการประท้วง ตามหลักสากล และอย่างอะลุ่มอะล่วยอย่างมากที่สุด มากกว่าที่สหรัฐฯ กระทำต่อกลุ่มผู้ประท้วงในประเทศตนเองเสียอีก

สถานการณ์ในประเทศไทย มิได้เป็นอย่างที่กล่าวไว้ในร่าง resolution ถ้อยคำส่วนใหญ่ที่ สว.สหรัฐฯ นำมาใช้โจมตีรัฐบาลไทยในครั้งนี้ มาจากม็อบ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ในกระทรวงต่างประเทศ ที่ผมได้รับมา ยืนยันว่า คำกล่าวอ้างเหล่านั้น ได้ถูก lobbyists อเมริกัน ที่รับค่าจ้างให้ทำงานแทน นำเอาไปใช้ในสหรัฐฯ เพื่อกลับมาโจมตีรัฐบาลไทย

สันดานรัฐบาลอเมริกันทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาล ที่ใคร ๆ ในโลกก็รู้ดี เพราะคุ้นชินกันมาหลายทศวรรษ คือยืนข้างฝ่ายที่จะสร้างผลประโยชน์ ทางการค้าและการเมือง สำหรับตน มิใช่การยืนเคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่งภาษาบ้าน ๆ ของชาวไทยเราเรียกว่า ตอแหลหน้าด้าน ๆ

ผมอยากถือโอกาส ยกตัวอย่าง ประวัติศาสตร์สนับสนุนถ้อยความของผม เรื่องการแทรกแซงกิจการภายในจากสหรัฐฯ ด้วยการให้การสนับสนุนฝ่ายการเมือง ที่จะสร้างผลประโยชน์สำหรับตนเท่านั้น

ทุ่งสังหาร

ขอยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ช่วงสงครามอินโดจีน

ย้อนเวลาไปเมื่อปี 2484 เจ้าชายนโรดมสีหนุ พระราชนัดดาของพระเจ้านโรดม (พระองค์ราชาวดี) ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็น สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ถึงปี 2496 กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส

ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีจากนั้น กล่าวคือ ในปี 2513 เกิดรัฐประหารโดย นายพลลอนนอล ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ให้โค่นล้มรัฐบาลสมเด็จนโรดมสีหนุ

**สหรัฐอเมริกาสนับสนุนทหารให้ทำการรัฐประหารรัฐบาลประชาธิปไตย

จากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยในครั้งนั้น ไดนำพากัมพูชาเข้าสู่วังวนแห่งสงครามอินโดจีน ซึ่งเป็นบาดแผลที่แสนจะเจ็บปวดรวดร้าว

เหตุการณ์หลังจากนั้น กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์เขมรแดง บุกยึดกรุงพนมเปญ นำพาประเทศสู่ระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่ง ซึ่งนำมาสู่โสกนาฎกรรม ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เรียกว่า ทุ่งสังหาร

ต่อมาอเมริกาแพ้สงครามกับเวียดนาม เวียดนามก็เป็นใหญ่ในอินโดจีน กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา ภายใต้การสนับสนุนของเวียดนาม ก็โค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงต่ออีกที

กว่ากัมพูชาจะกลับฟื้นขึ้นมาสู่ปัจจุบันนี้ได้ ต้องผ่านประสบการณ์ทางสงคราม การเมืองและสังคม ที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

เราคนไทยบางคน อาจไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น แต่เชื่อว่ามีอีกหลายท่าน จำประวัติศาสตร์ช่วงนี้กันได้ดี
จากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยในครั้งนั้น กัมพูชาก็เข้าสู่วังวนแห่งสงครามอินโดจีน ซึ่งเป็นบาดแผลที่แสนจะเจ็บปวดรวดร้าว

สงครามการเมือง  อันยาวนานในกัมพูชา มีจุดเริ่มต้นมาจาก การแทรกแซงกิจการภายในโดยสหรัฐอเมริกา

เหมือนสงครามการเมืองในตะวันออกกลาง ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการแทรกแซงกิจการภายใน โดยสหรัฐอเมริกาเช่นกัน

ตอนนี้เรื่องราวเหล่านั้นอาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทย

ชาวโลกและชาวไทยมากมาย ดีอกดีใจที่ โจ  ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง เพราะผู้คนต่างรังเกียจ โดนัลด์ ทรัมป์
แต่หารู้ไม่ว่า เรากำลังหนีเสือปะจระเข้

รัฐบาลจากพรรคเดโมแครต จะเข้ามายุ่งกับกิจการภายในของไทยมากกว่า พรรคริพับลิกัน

หลังจากนายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งเพียงไม่นาน สัญญาณอันตรายแสดงให้เห็นทันที เมื่อ แทมมี ดักเวิร์ธ สว​. สหรัฐฯ ผู้ที่มีแม่เป็นคนไทย และวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ประกาศเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ฟังเสียงผู้ประท้วง

โดยชี้ชวนว่า ขบวนการประชาธิปไตยในไทย กำลังเผชิญความรุนแรง และการปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ชื่นชมม็อบคณะทรราษฎร์ ว่าเป็นผู้กล้าหาญ

คำพูดของนางแทมมี และ สว. สหรัฐฯ คือการส่งสัญญาณให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านสถาบันฯ ว่า รัฐบาลพรรคเดโมแครต จะสนับสนุนฝ่ายต่อต้านชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนสมัยที่รัฐบาลโอบามา แห่งพรรคเดโมแครต เคยสนันสนุนกลุ่มเสื้อแดงมาแล้ว

เรากำลังโดนประเทศอภิมหาที่ชอบใช้อำนาจ เข้าแทรกแซงกิจการภายใน ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกมาตลอดหลายทศวรรษ แทรกแซงกิจการภายในของไทย

และซ้ำเติมด้วยคนไทยด้วยกันเอง ที่ใส่หน้ากากประชาธิปไตยแต่กำลังล้มล้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ชักศึกเข้าบ้าน

กรุงศรีอยุธยาอายุ 400 กว่าปีเสียเมืองจนสิ้นซาก นอกจากมีสาเหตุมาจากรัฐบาลไทยเองแล้ว ยังมาจากการชักศึกเข้าบ้านอีกด้วย

ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo