Politics

สนส. จี้รัฐ หยุดใช้ความรุนแรงผู้ชุมนุม ชี้เป็นสิทธิชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ จี้รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ หยุดใช้ความรุนแรงผู้ชุมนุม พร้อมร้องรับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้รัฐบาลยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ออกมาใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบโดยทันที และให้รัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เพื่อเปิดพื้นที่สันติวิธีที่ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองและสังคม โดยระบุว่า

ม็อบ01 17 11 20 ๒๐๑๑๑๘ 0

จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าปิดกั้น สกัดและฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมติดตามว่าร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน จะผ่านการพิจารณาของสภาหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 ข้อเรียกร้องของประชาชนมาตลอด ได้แก่

1. ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และองคาพยพ ลาออก

2. รัฐสภาต้องเปิดประชุมวิสามัญทันทีเพื่อรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

3. ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย โดยนอกจากมีการฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่ยังมีการเตรียมใช้กระสุนเพื่อยกระดับมาตรการควบคุมฝูงชนด้วยนั้น

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) มีความเห็นว่า การใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน เพื่อเรียกร้องและติดตามการลงมติต่อร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนได้ร่วมกันเสนอ ที่บริเวณหน้ารัฐสภานั้น ยังถือเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 44 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อบทที่ 21 ที่รัฐไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม

การจำกัดใช้เสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าวย่อมกระทำไม่ได้ การอาศัยเพียงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศเกี่ยวกับการชุมนุมบางประการ ไม่อาจทำให้การชุมนุมนั้นกลายเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบจนเป็นเหตุให้รัฐใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมได้

การที่เจ้าหน้าที่รัฐฉีดน้ำแรงดันสูง และแก็สน้ำตา ใส่ผู้ชุมนุมที่เพียงต้องการเข้าไปชุมนุมโดยสงบ บริเวณหน้ารัฐสภานั้น ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุม ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศรับรองไว้

ทั้งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ เรื่อง การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เนื่องจากตามหลักการแล้ว ก่อนใช้กำลังเจ้าหน้าที่ควรต้องพิจารณา

(1) หลักความถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องมั่นใจว่ากำลังที่จะใช้ เป็นไปตามข้อกำหนดของตำรวจ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

(2) หลักความจำเป็นอย่างเข้มงวด กล่าวคือการใช้ความรุนแรงควรเป็นหนทางสุดท้ายในการนำมาใช้

(3) หลักความได้สัดส่วน โดยการใช้กำลังจะต้องเป็นไปตามเป้าประสงค์เพื่อให้บรรลุผลถึงการใช้กฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นปฏิบัติเกินกว่าเหตุและไม่ได้สัดส่วน

(4) หลักความรับผิดรับชอบ เมื่อรัฐเป็นผู้ใช้กำลังทุกครั้ง รัฐจะต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายที่เกิดขึ้น โดยควรจะมีกลไกที่ไม่ใช่การตรวจสอบกันเองภายในองค์กร แต่ต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบอย่างเป็นอิสระ เพื่อไม่ให้เกิดการลอยนวลความผิด

ในการนี้ สมาคมฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รัฐต้องยุติการใช้อำนาจที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การความคิดเห็น และการชุมนุมโดยสงบของประชาชนทุกกลุ่ม โดยต้องอำนวยความสะดวกให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบโดยทันที

หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายต่อการกระทำดังกล่าว ทั้งทางแพ่ง อาญา และทางวินัย ถ้าหากมี เพื่อไม่สร้างการสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และป้องปรามและป้องกันไม่ให้มีการกระทำของเจ้าหน้าที่เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ เป็นอิสระ และปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อผดุงความยุติธรรมและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของบุคคลกลุ่มใด

ให้รัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เพื่อเปิดพื้นที่สันติวิธีที่ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในทุกประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งทางสังคมอยู่ในปัจจุบัน

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo