Politics

‘นายกรัฐมนตรี’ ย้ำ! โควิดทำหลายประเทศล้ม แต่ต้องลุกขึ้นให้ไว

นายกรัฐมนตรี เดินหน้า “แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12” หวังยกระดับไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นคนไทย คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการประชุม ประจำปี 2563 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่าด้วยการติดตามประเมินผลในช่วงครึ่งแผนแม่บทในระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2565) และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และกล่าวปาฐกถาพิเศษ “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด”

โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ข้าราชการและสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษ “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ความตอนหนึ่งว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะดีขึ้น แต่ประมาทไม่ได้ ยังต้องเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีแผนฯ 12 เป็นก้าวแรกของการเดินทาง เน้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง กำจัดจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง และพัฒนาจุดแข็งในช่วงชีวิตวิถีใหม่ สำหรับอนาคต โดยผลักดันการพัฒนาสำคัญหลายด้าน อาทิ

1. การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

2. การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการประกันรายได้

3. โครงการชิมช็อปใช้ กระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ

4. การอนุมัติงบบัตรทอง

5. การเพิ่มเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

6. การแก้ปัญหาภัยแล้ง

7. โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งยังได้ดำเนินการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินกู้ฉุกเฉิน มาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา การยืดเวลาการชำระภาษีเงินได้ เพื่อลดภาระให้กับประชาชน ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน

นายกรัฐมนตรี เผยถึงการเดินหน้าบริหารงานภายใต้การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการจัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด -19 พ.ศ. 2564 – 2565 เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

1. การสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก

2. เน้นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค

3. เน้นกระตุ้นอุปสงค์ และการท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล โดยนายกรัฐมนตรีได้ยกตังอย่างการอนุมัติโครงการสำคัญต่าง ๆ เช่น โครงการ 1 ตำบลกลุ่ม 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ (โคก หนอง นา โมเดล) โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำทิศทางการพัฒนาประเทศและศักยภาพที่สำคัญของไทยที่สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) ภายใต้ 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ

1. การพร้อมรับ

2. การปรับตัว

3. การเปลี่ยนแปลง เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่

“โควิดที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ สังคม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ไทยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะป้องกันโควิด-19 แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องเตรียมตัว ปรับตัวพร้อมเผชิญความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้า รวมถึงต้องเดินหน้าต่อไปในเชิงรุกตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ แม้ทุกประเทศจะล้มกันหมด แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องหาวิธีลุกขึ้นให้ได้โดยเร็ว” 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเผยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในยุคชีวิตวิถีใหม่ ว่า ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันพัฒนาตนเองเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะทุกคน คือ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกันในทุกระดับไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo