Politics

เปิดเทอม 1 ก.ค. ‘ศธ.’ กำหนดมาตรการเข้ม สั่งเตรียมพร้อมกรณีเลวร้ายที่สุด!!

เปิดเทอม 1 ก.ค. “กระทรวงศึกษาธิการ” กำหนดมาตรการเข้ม เผยโรงเรียน 31,000 แห่งสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ สั่งเตรียมพร้อมกรณีเลวร้ายที่สุด!!

นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เผยถึงมาตรการด้านการศึกษา ในกรณีที่จะมีการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีแคมเปญ “Back to Healthy School” โรงเรียนสุขภาพดี นักเรียนมีความสุข ที่ได้เลื่อนการเปิดเทอมจากเดิม ที่มีการเปิดเทอมในวันที่ 16 พฤษภาคม – 10 ตุลาคม และวันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม – 14 พฤศจิกายน และ 1 ธันวาคม – 10 เมษายน

โดยภาคเรียนใหม่จะมีวันเรียนประมาณ 180 วัน และจะมีวันหยุดที่น้อยกว่าเดิม โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้โรงเรียนมีอิสระในการสอนเพิ่ม อาจจะสอนเพิ่มในวันเสาร์ – อาทิตย์ หรือ สอนเพิ่มตอนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับความรู้ที่ครบถ้วน

เปิดเทอม 1 ก.ค.

นายวราวิช กล่าวว่า กรมอนามัย และ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกคู่มือการปฏิบัติของสถานศึกษา ซึ่งได้มีการแจกจ่ายและ ทำความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในคู่มือสำหรับการ เปิดเทอม 1 ก.ค. ได้แบ่งออกเป็น 6 มิติ

มิติที่ 1 เป็นเรื่องความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรค จำนวน 20 ข้อ เป็นมิติสำคัญที่สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ห้ามขาด จึงจะสามารถเปิดเรียนได้

มิติที่ 2-6 รวม 24 ข้อ จะเป็นมิติเพิ่มเติมที่โรงเรียนจะต้องปฏิบัติต่อไป โดยกรมอนามัยจะประเมินจากแบบประเมินที่เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ จนถึงวันนี้ได้มีสถานศึกษาที่ผ่านการประเมินจากกรมอนามัยแล้ว 90% ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา ที่สถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ 20 ข้อนี้ทั้งหมด 100% ก่อนการเปิดภาคเรียน

โดยมาตรการหลัก ที่ใช้ในการตรวจสถานศึกษา ได้แก่ ตรวจอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากาก ล้างมือจัดเตรียมสบู่ แอลกอฮอล์ ลดแออัด เว้นระยะห่าง และทำความสะอาดพื้นผิว ซึ่งประเด็นที่คาดว่า ปฏิบัติได้ยากที่สุด คือ การเว้นระยะห่างในห้องเรียน 1.5 เมตร ได้ข้อสรุปว่า จำนวนโรงเรียนที่สามารถเว้นระยะห่างได้ และสามารถจัดเรียนได้ปกติ มี 31,000 โรงเรียน

ส่วนโรงเรียนที่มาเรียนพร้อมกันไม่ได้ ต้องสลับกันมาเรียนมีจำนวน 4,500 โรงเรียน สำหรับนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน ทางกระทรวงศึกษาธิการได้จัดการเรียนการสอนแบบออนแอร์ และออนไลน์ เพื่อดูแลนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน โดยได้มีการประชุมหารือโดยครู และผู้ปกครองที่เป็นกรรมการของสถานศึกษา เพื่อหาวิธีที่จะสลับการเรียนการสอนในโรงเรียนที่จะต้องสลับกันมาเรียน สรุปได้ 5 วิธี ได้แก่

1. เรียน 5 วัน หยุด 9 วัน (อาทิตย์เว้นอาทิตย์)
2. สลับเรียนเช้า-บ่าย
3. สลับวันคี่/วันคู่
4. สลับเรียน
5. เรียนผสม

เปิดเทอม 1 ก.ค.

สำหรับประเด็นอื่น ๆ กรณีรถโรงเรียน ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการดูแล หรือ ที่โรงเรียนเหมามาเอง จะต้องนั่งตามที่กำหนดและสวมหน้ากาก หากที่นั่งตามที่กำหนดไม่พอ ให้เพิ่มจำนวนรถ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้มอบงบประมาณในส่วนนี้ให้กับโรงเรียนแล้ว กรณีเด็กเล็ก ในเรื่องการนอน จะต้องนอนห่างกัน 1.5 เมตร หันเท้าชนกัน และไม่ต้องสวมหน้ากาก

ส่วนอาหารกลางวัน จะผลัดกันรับประทาน แบ่งให้มี 3-4 ผลัด ระยะเวลาเหลื่อมกัน 30 นาที แล้วแต่จำนวนนักเรียน ส่วนกรณีการสอบวัดผล กระทรวงศึกษาธิการจะประกาศอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ โดยนักเรียน ม.6 จะต้องสอบ ส่วนนักเรียนชั้นอื่น หากมีการสอบ จะต้องมีการปรับตัวชี้วัดในปีที่ประสบปัญหาการติดเชื้อของโควิด-19 เพื่อให้นักเรียนถูกวัดผลได้อย่างยุติธรรม

สำหรับในกรณีที่ร้ายที่สุด หากพบผู้ต้องสงสัย หรือ มีเกณฑ์ติดเชื้อภายในโรงเรียน จะมีการคัดแยกผู้มีอาการ แจ้งผู้ปกครอง แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากตรวจพบเชื้อจะทำการปิดโรงเรียน 3 วันเพื่อทำความสะอาด และผู้ใกล้ชิดกักตัว 14 วัน โดยทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อต้องการให้ใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ โดยเด็กโตสามารถปฏิบัติได้เอง

ในส่วนเด็กเล็ก ให้คุณครูเป็นผู้รวมรายชื่อ เพื่อกระทรวงสาธารณสุขสามารถตรวจสอบได้ในอนาคต และกรณีโรงเรียนชายขอบ ไม่อนุญาตให้นักเรียนเดินทางเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเรียนในประเทศ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากต้องการเรียนจริง ๆ ให้เดินทางเข้าประเทศเพื่อรับการกักตัว 14 วัน และห้ามกลับออกนอกประเทศระหว่างนั้น จึงจะสามารถเข้าเรียนได้ โดยจะมีการเรียนการสอนผ่านทีวี และให้ครูส่งและเก็บใบงานผ่านกล่องทุกวัน เพื่อลดการสัมผัสโดยตรง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo