พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในข้อตกลงร่วมกันของคณะทำงานระหว่างไทยและเมียนมาในการส่งตัวผู้หลบหนีภัยทางการสู้รบที่อยู่อาศัยตามพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนของไทยกลับประเทศบ้านเกิด
“นายกรัฐมนตรี เคยระบุว่า ประเทศไทยพร้อมช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดปลอดภัยและความพร้อมของไทย ไทยอาจดูแลได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อสถานการณ์ในประเทศเดิมของผู้ลี้ภัยนั้นดีขึ้น และผู้ลี้ภัยมีความสมัครใจจะกลับไป รัฐบาลไทยก็ยินดี” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
ทั้งนี้ได้สำรวจข้อมูลและพบว่า ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบที่อยู่ในที่พักพิงทั้ง 9 แห่งใน จ.แม่ฮ่องสอน, ตาก, กาญจนบุรี และราชบุรี จำนวนกว่า 100,000 คน และที่ผ่านมา ได้ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 164 ราย จนกระทั่งคณะทำงานทั้งไทยและเมียนมาได้ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้แนวทางการส่งตัวกลับประเทศดั้งเดิมนั้นมีแนวทางที่ชัดเจน จึงได้ข้อสรุปว่า ทั้งไทยและเมียนมาจะทำงานร่วมกันด้วยความเป็นมิตร เพื่อส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศบ้านเกิดด้วยความปลอดภัยและยั่งยืนด้วยการส่งกลับไปเป็นรอบ ๆ
อย่างไรก็ตาม ไทยได้ตอบรับข้อเสนอของทางเมียนมาที่ให้แบ่งกลุ่มผู้ลี้ภัยออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่มีถิ่นกำเนิดชัดเจน 2.กลุ่มที่มีจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจจะกลับไปตั้งรกรากในเมียนมา และ 3.กลุ่มที่ต้องการมีวิชาชีพ โดยกลุ่มที่ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานในเมียนมานั้น จะใช้จุดผ่านแดนที่อยู่ใกล้สถานที่พักพิงชั่วคราวเพื่อส่งตัวกลับ ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สอด จ.ตาก และจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สนับสนุนงบประมาณส่งตัวผู้ลี้ภัยเป็นจำนวน 3,500,000 บาท
