ใกล้สิ้นปี 2567 แล้ว กำลังจะเปลี่ยน พ.ศ. ใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ตลอดปี 2567 การเมืองไทยก็มีแต่เรื่องร้อนแรง สำนักข่าว The Bangkok Insight ได้คัด 10 ข่าวเด่นการเมืองไทยในรอบปีมาเสิร์ฟให้ได้อ่านกัน
1. “แพทองธาร” ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด
สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ 16 สิงหาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากที่ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีเพียงเสียง สส. โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทยต่อจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นอา เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
น.ส.แพทองธาร ปัจจุบัน อายุ 37 ปี เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ จบปริญญาตรีสาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท สาขาการจัดการโรงแรมนานาชาติ (International Hotel Management) จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ (Surrey University) ประเทศอังกฤษ
แม้ น.ส.แพทองธาร จะมีใจรักทางการเมืองก็จริง แต่ก็ยังถูกวิพากวิจารณ์หนัก ในเรื่องการบริหารประเทศ รวมไปถึงวางตัว การแต่งกาย สำคัญสุดยังไม่เคยทำหน้าที่ในตำแหน่งใดๆ ในคณะรัฐมนตรี แต่อยู่ๆก็ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ทันที ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะบริหารได้มากน้อยแค่ไหน
12 กันยายน 2567 น.ส.แพทองธาร และคณะรัฐมนตรีได้เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมี 10 นโยบายเร่งด่วน ที่ต้องทำทันที
- การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
- ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย
- ออกมาตรการลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค
- สร้างรายได้ใหม่ด้วยนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี
- เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
- ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และราคาพืชผลการเกษตร
- เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว
- แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร
- เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม
- ส่งเสริมศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง สร้างความเท่าเทียมทางโอกาส และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคนไร้รัฐไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธุ์
ทั้งนี้ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ รัฐนาวาแพทองธาร ว่าจะบริหารประเทศได้ดีแค่ไหน โดนใจประชาชนมากน้อยอย่างไร โดยเฉพาะความสำเร็จจากนโยบายที่แถลงไว้
ครั้งหนึ่งเคยได้นั่งพูดคุยกับนายทักษิณ เมื่อครั้งยังอยู่ต่างประเทศ บอกชัดเจนว่า “น้องอิ๊ง จะเป็นนายกฯ ได้ก็ต่อเมื่อผมได้กลับประเทศไทย ถ้าผมได้กลับประเทศไทยแล้ว ผมจะเป็นพี่เลี้ยงให้น้องได้ “ คำให้สัมภาษณ์วันนั้นกลายมาเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อนายทักษิณ กลับมาเมืองไทย อุ้งอิ๊งค์ ได้แรงหนุนขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีในเวลาไล่เลี่ยกันพอดี
จริงอยู่คนจำนวนมากก็เชื่อว่ากุนซือ สำคัญคือ คุณพ่อ ที่จะคอยบอกและวางหมากให้เดิน แต่นั่นก็คือคำบอกเล่า สำคัญสุดนายกฯอุ้งอิ๊งค์ จะประคองตัวเองกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานแค่ไหน

2. 358 วันบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของ “เศรษฐา ทวีสิน”
อีกหนึ่งข่าวที่ผู้คนให้ความสนใจทั้งคนไทยและต่างชาติ กับเก้านายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 30 เขานั่งบริหารประเทศอยู่ได้เพียง 358 วัน ก่อนต้องลุกออกไปด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายเศรษฐา ทวีสิน จากนักธุรกิจหมื่นล้าน ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี นายเศรษฐา ใช้เวลาไม่มากนักกับการเล่นการเมือง พร้อมกับก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ในฐานะผู้นำประเทศโดยที่ประชุมร่วมรัฐสภา 22 สิงหาคม 2566 ลงมติเลือก นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังพรรคเพื่อไทย (พท.) จัดตั้งรัฐบาลผสม 11 พรรค รวม 314 เสียงได้สำเร็จ ชื่อ นายเศรษฐา ถูกปรากฎขึ้นมาทั้งๆที่ไม่ใช่คนการเมืองแต่กำเนิด แต่ได้รับแรงสนับสนุนจากคนแดนไกล ให้เข้ามารับตำแหน่งนี้
ทว่า นายเศรษฐา นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้เพียง 358 วัน จำต้องลุกออกไป ด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ จากการแต่งตั้งอดีตทนายความของ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีจากตระกูล “ชินวัตร” เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม”
เมื่อ 14 สิงหาคม 2024 เวลา 09.30 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมโดยมีวาระสำคัญคือ การพิจารณาและลงมติในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา 40 คน ยื่นเรื่องผ่าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ หลังพบว่า มีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ ด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา สิ้นสุดลงได้
จากกรณี นายเศรษฐา นำความกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกา มีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบังลังก์อ่านคำวินิจฉัย และมติศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรมร้ายแรง เมื่อนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ ตามมาตรา 167 วรรคหนึ่ง ให้ใช้มาตรา 168 มาใช้ต่อไป
จากคำตัดสินดังกล่าว ทำให้ นายเศรษฐา ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสภาพ พ้นจากตำแหน่งไปทั้งคณะ
ไม่ใช่ไม่รู้เอาเสียเลยว่าใคร เป็นอย่างไร คุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ แต่เพราะการแต่งตั้ง หรือการเสนอชื่อ อาจไม่มีความอิสระ แต่มันเป็นเพราะ “คุณขอมา” มากกว่า จนนำพาไปสู่ ตัวเองตกม้าตาย ความไม่อิสระ เป็นเหตุทำให้เกิดความไม่รอบคอบขึ้น และน่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวรู้ดีที่สุด

3. การเมืองไทยใต้ร่มเงา “ทักษิณ”
การเมืองกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อทักษิณ ชินวัตร กลับมาประเทศไทย เมื่อเช้าวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่สนามบินดอนเมือง ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังการรัฐประหาร
18 กุมภาพันธ์ 2567 ทักษิณ ได้รับการพักโทษ ปล่อยตัวกลับบ้าน หลังถูกจำคุกในโรงพยาบาลตำรวจครบ 180 วัน เข้าเงื่อนไข อายุเกิน 70 ปี มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยเรื้อรัง และได้รับโทษมาแล้วเกิน 1 ใน 3 หรือไม่ต่ำกว่า 180 วัน
หลังทักษิณ กลับมาการเมืองเริ่มคึกคัก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย 26 มีนาคม 2567 ทักษิณเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรก
จากนั้น 26 มิถุนายน 2567 ทักษิณเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นวิทยากรร่วมบรรยายในหลักสูตร PTP Academy หรือ Pheu Thai Party Academy โครงการพัฒนาศักยภาพของสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยมี สส.ใหม่ของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมฟัง
16 สิงหาคม 2567 แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนเล็กของ ทักษิณ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากที่ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง
17 สิงหาคม พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ปรากฏว่า ทักษิณ เข้าเกณฑ์ได้รับอภัยโทษ โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดโทษจำคุก 1 ปี ตรงกับวันที่ 22 สิงหาคม 2567
ทักษิณ เริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จนใครต่อใคร ไม่ว่าจะเป็นคนการเมือง หรือแม้แต่นักธุรกิจ ก็ต้องเรียงคิวเข้าพบ เรียกว่า “หัวกระไดไม่แห้ง” มีทั้งพบปะพูดคุยทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ จุดนัดพบของทักษิณ ไม่ใช่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่เดียว แต่เขามักใช้สถานที่แห่งนี้ เป็นที่นัดพบผู้คนทั้งแขกบ้านแขกเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็คือ โรงแรม Rosewood Bangkok ที่ใครต่อก็ต้องไปพบปะ
ไม่เฉพาะแต่นั่งรอให้คนไปพบหา ทักษิณ ยังปรากฎตัวในหลายพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ หรือภาคอีสาน จนทำให้การเมืองเวลานี้ มีสีสรรค การโต้ตอบเริ่มใช้ความรุนแรงขึ้น แบบไม่เกรงกลัวใคร ชัดเจนสุดทักษิณ ได้กลายเป็นกุนซือคนสำคัญให้กับนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ไปแล้ว
และเมื่อไม่นานมานี้ ทักษิณ ได้ไปสัมมนาที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามโครงการเสริมศักยภาพ สส. และบุคลากรทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย
ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า มี พ.ร.ก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่ามีพรรคร่วมบางพรรคหลบป่วยอย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิ วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่ายๆ อยู่ก็อยู่ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน เป็นนโยบายรัฐบาล แถลงนโยบายคุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้รัฐมนตรี ค่อยๆ หลบมือออก ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา
พรรคร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันจริงๆ ตรงไปตรงมา มีอะไรไม่พอใจพูดกัน แต่สิ่งไหนที่เป็นนโยบายรัฐบาลคือต้องทำ ไม่ใช่ได้ตำแหน่งแล้วไม่เอาแล้ว อยากส่งสัญญาให้รู้ว่าทำไม่สวยเลย หายไปตอน พ.ร.ก.เข้า ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ให้รู้ว่าการทำงานร่วมกันง่ายมาก
และนี่คือจุดที่ทำให้มีการมองกันว่า ทักษิณ กลายมาเป็นตัวจริงเสียงจริง คุมคณะรัฐมนตรีเสียเอง!! สำคัญตอนนี้ใครด่ามาสวนกลับทันที แบบไม่ต้องยั้งปาก!!
4. อวสานสถาบันการเมืองถึงยุค “ประชาธิปัตย์” แพแตก!
ปี 2567 อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ ใครจะเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทย สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 บนเส้นทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถือเป็นพรรคการเมืองที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลัง การก่อตั้งรัฐบาล ร่วมรัฐบาล เคยเป็นมาหมดแล้ว หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 4 คน คือ ควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ชวน หลีกภัย ที่เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นพรรคเก่าแก่ที่เป็นสถาบันการเมือง
แต่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2535 ที่ทำให้ ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก จากนั้นไม่เคยชนะเลือกตั้งอีกเลย เวลาต่อมาหัวหน้าพรรคคือ ชวน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 และอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมาก็เพราะอุบัติเหตุทางการเมือง ที่กลายเป็นตำนานของ “งูเห่า” ทางการเมืองทั้งสองครั้ง
“จุดเด่นพรรคประชาธิปัตย์คือพรรคการเมืองฝีปากกล้า สส.ในพรรค มีเอกลักษณ์ มีลีลาโวหารโดดเด่น เป็นคุณสมบัติของสส. ท้าทายฝ่ายที่มีอำนาจรัฐ ยืนยันหยัดต่อสู้กับเผด็จการ” เป็นพรรคขวัญใจชนชั้นกลาง คนในเทือง คนภาคใต้มายาวนาน
มาวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยืนยาวมาได้ถึง 78 ปี ปรากฎการณ์ข้างต้นกลับเลือนหายไปแล้ว ฐานเสียงในภาคใต้ก็ไม่เหมือนเดิม ระยะหลัง ๆ ชัยชนะในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ง่ายอีกแล้ว คนใต้ก็ไม่ได้ยึดติดกับพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว มีพรรคการเมืองอื่นเข้ามาแย่งชิงเก้าอี้ได้มากทีเดียว แม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์เอง ยังยอมรับ
“บอกวันนี้ภาคใต้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทำการเมืองแบบประชาธิปัตย์ มันไม่ได้ผลแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป ชาวบ้านเขามีทางเลือกมากขึ้น การเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ประชาธิปัตย์ไม่สามารถครองใจคนใต้ได้อีกแล้ว”
ซ้ำร้ายช่วงหลังประชาธิปัตย์ ก็มีปัญหาภายในมากมาย แบ่งกลุ่ม แบ่งก๊วน แบ่งก๊ก ชัดเจน ความตกต่ำก็ปรากฎขึ้นชัด ความเป็นสถาบนัทางการเมืองไม่เหลืออีกแล้ว ยิ่งเลือกตั้งครั้งล่าสุด ยิ่งทำให้เห็นว่าภาคใต้ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของประชาธิปัตย์ กลับย่อยสลายไปหมดแล้ว สส.ก็ได้น้อยลง คนในพรรคก็ไม่ได้รู้สึกเกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับอยู่ในว่าเด็กใคร สายไหนมากกว่า
ความแตกแยกภายในพรรคก็โดดเด่นขึ้น ตั้งแต่มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น ที่ต้องเลือก หัวหน้าพรรคถึง 3 ครั้งจนได้ เฉลิมชัย ศรีอ่อน พร้อมๆกับข่าวกำลังจะเข้าไปเป็น “อะไหล่” ให้กับรัฐบาล มีการดิวล่วงหน้าบินไปเจรจาที่ฮ่องกงมาก่อนแล้ว
จนในที่สุดพลิกสถานภาพจากฝ่ายค้าน เป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” ในที่สุด ตอบรับคำเชิญจับขั้วกับ “เพื่อไทย” จากศัตรูคู่อาฆาตมานานกว่า 20 ปี กลายเป็นมิตรภาพบางส่วน เพราะผู้คนในพรรคจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยพร้อมกับประกาศลาออกจากพรรค บางกลุ่มก็อยู่ในสภาพวางมือมทางการเมือง ไม่ยุ่งไม่ร่วม อยู่แบบเฉยๆ
คนในพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อย บอกว่าความเจ็บปวด ณ เวลานี้ความเป็นพรรคเก่าแก่ของประชาธิปัตย์ และการเป็นสถาบันการเมืองมัน “อวสาน” ไปแล้ว วันนี้หากจะบอกว่าประชาธิปัตย์แพแตกก็ไม่ผิดตรงไหน เพราะในพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว มีทั้ง “ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล” อยู่ในพรรคเดียวกัน

5. ฝันที่เป็นจริง! “ร.อ.ธรรมนัส” จุดจบแตกหัก “ลุงป้อม”
อีกหนึ่งคนการเมืองที่มีเรื่องราวตลอดช่วงปี 2567 นั่นก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตลอดเวลาที่อยู่ในพปชร. ถือเป็นไม้เบื้อไม้เมา กับลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทั้งรักทั้งโกรธ แรกๆก็ดูเหมือนเป็นคนโปรด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปอะไรๆก็ไม่แน่นอน มีคยบอกว่าลุงป้อม เป็นคนที่ใครพูดอะไรบอกอะไรฟังหมด รับปากหมด เพียงแต่ใครเข้าหาคนสุดท้าย คนนั้นมักได้รับความนิยม และเมื่อเกิดอะไรขึ้นมักพูดเสมอ “ไม่รู้ ไม่รู้” กลายเป็นฉายายอดฮิต
ตลอดระยะเวลาที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่กับพปชร. มีทั้งคนชอบและไม่ชอบปะปนกันไป แต่ด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีความได้เปรียบกว่ากลุ่มก๊วนอื่นๆ เพราะเขามีสส.ในมือมากที่สุดกลุ่มหนึ่งจะขยับอย่างไร ก็มีผลต่อพปชร.ทันที
กระทั่งล่าสุด “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” เข้ามาสวมบทแทน “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ มีคำตัดสินชี้ขาดคดีคุณสมบัติ มีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ส่งผลให้ ครม. ไปทั้งคณะ
ทุกพรรคมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีประปลาย เช่นเดียวกับพปร. แต่คราวนี้ไม่เพียงแต่การปรับรายชื่อครม.ภายในพรรค แต่กลับกลายเป็นแตกหัก2 เสี่ยง ขึ้นมาทันที กับการชิงเก้าอี้รัฐมนตรี ระหว่างก๊วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร. ที่มีสส.ในสังกัดบวกกับพรรคเล็กร่วม 34 คน กับกลุ่มของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ที่มีสส.อยู่ในมือร่วม 20 คน
เมื่อร.อ.ธรรมนัส ต้องหักกับพล.อ.ประวิตร พ่อใหญ่อย่างทักษิณ ชินวัตร ย่อมเข้าข้าง ร.อ.ธรรมนัส เป็นแน่แท้
ทำให้ฝั่งร.อ.ธรรมนัส ยอมหั่นโควตารัฐมนตรีเหลือ 2 เก้าอี้ ส่วนอีก 2 เก้าอี้ แบ่งให้พรรคประชาธิปัตย์ เท่ากับไม่มีโควตาจากกลุ่ม “บิ๊กป้อม” แม้แต่เก้าอี้เดียว กลายเป็นร่วมรัฐบาลอยู่ดีๆแต่เก้าอี้หลุดลอยไป
สุดท้ายก๊วน ร.อ.ธรรมนัส สามารถยึดครองเก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่งไป แต่ก๊วนลุงป้อม กลับวืดไปแบบไม่ได้ตัว ร่วมรัฐบาลอยู่ดีๆ กลายเป็นฝ่ายค้านในชั่วค่ำคืน เฉกเช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านอยู่ดีๆ กลายเป็น“รัฐบาลครึ่งซีกชั่วข้ามคืน” เหมือนกัน
ล่าสุดพปชร.มีมติขับ 21 สส.ก๊วน ร.อ.ธรรมนัส พ้นพรรค แต่นี่คือสิ่งที่ ร.อ.ธรรมนัส และพวกต้องการให้มาถึงจุดนี้ จากนี้ไปต้องพิสูจน์ต่อว่าพวกเขาจะซบ “พรรคกล้าธรรม” จริง หรือรอวันเป็นอะไหล่ให้กับพรรคใหญ่
6. ยุบพรรคก้าวไกล “ประชาชน” ผงาด!
คดีนี้เริ่มมาจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ได้หอบเอกสารหลักฐานพร้อมคำร้อง เข้าร้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) ให้ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งให้พรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค (ในขณะนั้น) เลิกกระทำการใด เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กระทำอยู่ และเลิกการกระทำดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีแนวบรรทัดฐานไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564
แต่เมื่ออัยการสูงสุดไม่ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้ในภายหลัง นายธีรยุทธได้ส่งคำร้องตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญเอง และศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องในวันที่ 12 กรกฎาคม 2566
จากนั้น วันที่ 31 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า การกระทำของนายพิธา ซึ่งเป็นผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง รวมทั้งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง และพ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 74
และเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 นายธีรยุทธ ผู้ยื่นคำร้องในคดีแรกและนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้เดินทางไปที่สำนักงาน กกต. โดยมิได้นัดหมายกัน และได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ร้องศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค อ้างอิงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าพฤติการณ์ของนายพิธา และพรรคนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง
กกต. ใช้เวลาในการพิจารณาราว 1 เดือนครึ่ง ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ และท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 สั่งยุบพรรค ก้าวไกล หลังถูกร้องมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีชูนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 2 ชุด เป็นเวลา 10 ปี
อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกล ปัจจุบันยังเดินหน้าต่อในนามพรรคประชาชน กูรูการเมืองทั้งหลายยังฟันธงว่า การเลือกตั้งรอบหน้าก็ยังมีโอกาสสูงที่พรรคประชาชนจะชนะเลือกตั้งอีกครั้ง
7. เมื่อการเมืองพยายามแทรงแซง “แบงก์ชาติ”
ในการที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เราจะเห็นดราม่าและการฟาดฟันการระหว่างนายเศรษฐา และ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ คนปัจจุบัน และการฟาดฟันในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นถึงความชัดเจน ยอมหักไม่ยอมงอของ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” และตัวผู้ว่าแบงก์ชาติเอง
หากพิจารณาถึงความขัดแย้งระหว่าง “นายกรัฐมนตรี” กับ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” เห็นทีจะมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก จนมีกระแสข่าวถึงความพยายามในการ “ปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ” ของรัฐบาล ประเด็นแรกที่ชัดเจน คือ แบงก์ชาติ ออกโรงค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในครั้งนั้น “แบงก์ชาติ” ได้ส่งหนังสือด่วน ถึง ครม. ให้ทบทวนโครงการ พร้อมระบุว่า รัฐบาลควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาทไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ประเด็นถัดมา คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่รัฐบาลพยายามสะกิด “แบงก์ชาติ” ให้ปรับลดดอกเบี้ย จนแล้วจนรอด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ก็ยังยันกระต่ายขาเดียวว่า “ไม่ปรับ” ไม่ว่านายเศรษฐาจะสะกิดแรงแค่ไหนก็ตาม ส่วนอีกประเด็นที่เห็นอย่างชัดเจน คือ ความพยายามในการส่ง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้านั่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ประธานบอร์ด ธปท. ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกลุ่มนักวิชาการ และอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติหลายท่าน
แม้คณะกรรมการคัดเลือกประธานบอร์ด ธปท.จะเมินเสียงคัดค้าน แต่ “กิตติรัตน์” ก็เจอคณะกรรมการกฤษฎีกาทำแท้งเรียบร้อย ด้วยเหตุผลขาดคุณสมบัติ เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ความพยายามหลายครั้งจะถูกตีตก แต่เชื่อเถอะว่ายังมีอภินิหารให้ “แบงก์ชาติ” ต้องต่อสู้ให้เหนื่อยใจอีกหลายเรื่องแน่นอน
8. เลือก สว. ชุดใหม่ แบบใหม่ ทำคนดังตกรอบเพียบ
หลังสมาชิกวุฒิสภาชุดที่ผ่านการตัดสายสะดือด้วย “คสช.” หมดวาระลง ทำให้ต้องมีการคัดเลือก สว.ชุดใหม่ ตามกติกาของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ที่ใช้กับการเลือก สว. เป็นครั้งแรก กระบวนการเลือก สว. แบบมาราธอนเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันที่ 26 มิถุนายนก่อนเสร็จสิ้นการนับคะแนนในเวลา 04.00 น. ของวันที่ 27 มิถุนายน.
โดย สว. ชุดใหม่จะต่างจาก สว. ชุดก่อนหน้านี้ ที่มีจำนวนสมาชิกทั้ง 250 คน แม้จะผ่านกระบวนการเลือกกันเองในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ สว. ชุดใหม่ แต่การเลือกขั้นสุดท้ายกลับเป็นอำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคนเลือก จึงถูกมองว่าเป็น สว. ที่ถูกแต่งตั้งโดย คสช. และถูกมองว่าเป็น สว. เฉพาะกาล เนื่องจากมีอำนาจตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ สส. ด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้มี สว. หลังช่วงเวลา 5 ปีตามที่กำหนดในบทเฉพาะกาล จะมีจำนวน สว.ทั้งหมด 200 คน ดำรงตำแหน่ง ได้คราวละ 5 ปี และดำรงตำแหน่งนได้แค่วาระเดียว
โดยอำนาจและหน้าที่ของ สว. ชุดใหม่ ยังมีอำนาจหน้าที่เหมือนกับ สว. ชุดที่ผ่านมา ทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.ป. และกลั่นกรองกฎหมาย, การให้ความเห็นชอบกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การให้ความเห็นชอบ หรือให้คำแนะนำเพื่อแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระ, การตรวจสอบฝ่ายบริหาร
เพียงแต่ว่า สว. ชุดใหม่นี้ จะไม่มีอำนาจตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 คืออำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี, อำนาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และอำนาจในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บางเรื่องที่ถูกยับยั้งไว้
อย่างไรก็ตาม สว. ชุดปัจจุบัน มีสมาชิกจำนวนไม่น้อยเป็นพวกที่มาจากการ จัดตั้ง-ล็อกชื่อ-โหวตตามโผที่มีการเซตแผน มาตั้งแต่ระดับอำเภอจนถึงรอบสุดท้าย จนได้รายชื่อ สว. ที่ส่วนใหญ่เป็น เครือข่ายสีน้ำเงิน จนทำให้ สว.ชุดปัจจุบันถูกเรียกว่า “สภาสีน้ำเงิน” ขณะที่ “คนดัง” หลายรายต้อง “ตกรอบ” กลับบ้าน
9. เกาะกูดเป็นของไทย แต่ทำไมเกิดกระแสดราม่า?
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน “เกาะกูด” เรื้อรังมามากกว่า 50 ปี แต่เกิดกระแส-ขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “สมเด็จฮุนเซน” เพื่อนรักได้เดินทางเข้ามาเยี่ยม “นายทักษิณ” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังออกจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ การพบกันของเพื่อนรักในวันนั้น ทำให้เกิดกระแสดราม่าเรื่อง “เกาะกูดเป็นของใคร” และ MOU 44 ซึ่งทำขึ้นสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ล่าสุด นายทักษิณ จะยืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทยมาตั้งนานแล้ว และก็อยู่ในสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสที่ยึดครองกัมพูชาในสมัยนั้นว่า “เกาะกูดเป็นของไทย” และเกาะกงเป็นของเขมร พร้อมระบุว่า วันนี้เรื่อง MOU 44 ก็เป็นเรื่องที่ขออย่าไปเอะอะโวยวาย ไม่มีใครจะไปขายชาติ ถ้าขายชาติขายให้คนเฮงซวยพอจะขายได้ แต่คงไม่มีใครเอาอีกเพราะกลัวเป็นภาระ ส่วนเรื่องการทับซ้อนทางทะเลก็ไม่มีการตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างชัดไปหมดแล้วเรื่องบนบกจบไปนานแล้วเหลือเส้นแบ่งผลประโยชน์ใต้ทะเลเท่านั้น
“ส่วนที่มีคนไปอ้างว่าเป็นเพราะตนเองมีความสัมพันธ์กับฮุนเซนนั้น ต้องบอกว่าด้วยความเป็นเพื่อนกันคุยกันด้วยความเข้าใจเพราะการเป็นเพื่อนที่ดีดีกว่าเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นเพื่อนกันแล้วจะยกประเทศให้เขาแบบนั้นเป็นควายแล้ว” นายทักษิณ ยืนยัน
แม้นายทักษิณจะยืนยันเสียงดังฟังชัด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อ จนล่าสุด กลุ่มมวลชนรักชาติที่นำโดย “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยกเลิก MOU 44 เหตุกังวลว่า MOU 44 จะนำไปสู่การเสียเกาะกูดให้กัมพูชา เหมือนกรณีเขาพระวิหารนั่นเอง!!
10. “อุ๊งอิ๊ง” เด็ดขาด!! เมินดราม่าพ่อ-ลูก “อยู่บำรุง”
ในช่วงก่อนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เราได้เห็นความเด็ดขาดของ “อุ๊งอิ๊ง” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ตอบสื่ออย่างฉะฉาน หลัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวท้าทายให้พรรคเพื่อไทยขับออกจากพรรคไว ๆ รวมทั้งได้ท้าดีเบตกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยในครั้งนั้น “แพทองธาร” ยอมรับว่าได้ดีด ร.ต.อ.เฉลิม” พ้นจากไลน์กลุ่มของพรรคเพื่อไทย หลังจากที่เจ้าตัวได้ส่งข้อความลงในไลน์กลุ่มของพรรคแจ้งความประสงค์จะย้ายพรรค พร้อมย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า “ขับออกจากกรุ๊ปอย่างเดียวนะคะ ไม่มีนโยบายขับออกจากพรรค และแต่ครั้งนี้คงไม่ได้เข้าไปหาปรับความเข้าใจที่บ้านริมคลองแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดราม่าในครั้งนี้เกิดขึ้นจากกรณีที่ “อุ๊งอิ๊ง” เรียก “วัน อยู่บำรุง” ไปตักเตือนกรณีไปให้กำลังใจ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครนายก อบจ. คู่แข่งของพรรคเพื่อไทย จนนายวันต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐทันที
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- รัฐบาล ‘พ่อ’ เลี้ยง’ สื่อทำเนียบตั้งฉายารัฐบาล 2567 นายกรัฐมนตรี ได้ ‘แพทองโพย’
- มาแล้ว!! ฉายาสภาผู้แทนราษฎร ‘เหลี่ยม(จน)ชิน’ วุฒิสภาได้ ‘เนวิ(น)เกเตอร์สภาสูง’
- ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยิ้มสู้!! ฉายารัฐบาล ลั่นไม่ใช่ ‘แพทองโพย’ แต่เป็น ‘แพทองแพด’
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook : https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X : https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram : https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg