Politics

‘วิโรจน์’ จัดหนักรัฐบาล! ลั่นไม่ได้คิดใหม่ทำเป็น แต่ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อจาก ‘บิ๊กตู่’

“วิโรจน์” จัดหนักรัฐบาล! ลั่นไม่ได้คิดใหม่ทำเป็น แต่ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อจากรัฐบาล “บิ๊กตู่” ห่วงภาพลักษณ์กองทัพตกต่ำลง!

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ถึงนโยบายปฏิรูปกองทัพว่า ตามคำแถลงนโยบายด้านกองทัพของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยระบุว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ลดจำนวนนายพลลง ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การจะนำพื้นที่ไม่จำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์

วิโรจน์

“ตามที่นายเศรษฐาเคยพูดว่า นี่คือการพัฒนาร่วมกัน แต่กลับพบว่าเป็น แค่การสมยอมกับกองทัพในการปรุงแต่งตบตาประชาชน เอานโยบายรัฐบาลชุดที่แล้วมาทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ แล้วใช้คำให้ประชาชนหลงเชื่อว่านี่คือการปฏิรูป ต้องถามว่าการดำรงอยู่ของกองทัพ มีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศและประชาชน หรือเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ของผู้ที่อำนาจจากการเสพสุขและอำนาจของกองทัพจากรุ่นสู่รุ่น” นายวิโรจน์ ระบุ

ทั้งนี้ การปฏิรูปกองทัพ ไม่ใช่การทำลายกองทัพหรือด้อยค่ากองทัพ อย่างที่นายสุทินเคยให้สัมภาษณ์ หากไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของกองทัพจะถูกประชาชนตั้งแง่ทันที หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ จะทำให้ภาพลักษณ์กองทัพตกต่ำลง ทำงานยากลำบาก และจะมีคนกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสตบทรัพย์ ต่อรองเอางบประมาณจากกองทัพ หากกองทัพไม่โปร่งใสก็จะถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาความลึกลับดำมืดมาเป็นชะนักปักหลัง

สำหรับการปรับลดกำลังพล แม้ขณะนี้รัฐบาลจะประโคมข่าวความสำเร็จของการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่มีจำนวน 10,156 นาย ปี 65 จำนวน 6,600 นาย และ ปี 64 จำนวน 3,200 นาย หากดูยอดออนไลน์จำนวนเพิ่มขึ้นจริง แต่เป็นคนละเรื่องกับการลดกำลังพล และการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ก็ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่ปี 64 หากการสมัครทหารแบบออนไลน์ เป็นกลไกที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้จริง เมื่อรวมยอดการสมัครที่หน้างานและยอดสมัครแบบออนไลน์ จำนวนยอดสมัครทั้งหมดก็ควรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีก่อน ๆ มีจำนวนผู้สมัครทหารสูงสุดมากถึง 5 หมื่นคน

วิโรจน์

แต่ในปี 64 ที่มีการรับสมัครทหารออนไลน์รวมกับการสมัครที่จุดเกณฑ์ทหาร มีจำนวนกำลังพลลดลงเหลือเพียง 28,572 นาย ปี 65 เหลือเพียง 3 หมื่นนาย ปี 66 เหลือเพียง 35,000 นาย ซึ่งการสมัครทหารทั้งแบบวอล์คอินและออนไลน์มีแนวโน้มลดลงด้วยซ้ำ

นี่คือการตบตาประชาชนโดยนำแค่ยอดสมัครทหารออนไลน์มานำเสนอ 11 ปี จำนวนลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 นาย สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพลในอัตรา 70% ของอัตราความต้องการจริง การลดอัตรากำลังพลที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ ๆ หากต้องการปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง กระดุมเม็ดแรก คือการปรับปรุงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหม ยกเลิกหน่วยงานซ้ำซ้อน ประเมินภัยคุกคามและบริบทความมั่นคงในโลกยุคใหม่ ที่มีความต้องการกำลังพลทหารราบลดลงในทุกประเทศ และต้องนำพลทหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหาร ออกจากระบบให้หมด ซึ่งแผนการยุบหน่วยงานในปีงบประมาณ 67-68 ลดกำลังพลได้เต็มที่ 1,700 อัตรา ประหยัดงบประมาณได้แค่ 34 ล้านบาท จากงบทั้งหมด 93,000 ล้านบาท

ที่ดินราชพัสดุมีทั้งหมด 12 ล้านไร่ แต่ครอบครองโดยกองทัพถึง 6.25 ล้านไร่ ซึ่งกองทัพบกถือไว้มากถึง 4.5 ล้านไร่ ใน 4.5 ล้านไร่นี้อยู่ในจ.กาญ และราชบุรีถึง 3 ล้านไร่ มีทั้งที่ดินรกร้าง และที่ดินบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ บ้านพักตากอากาศ สนามมวย โดยไร้ความโปร่งใส โดยมีรายงานผลกำไรในธุรกิจทุกเหล่าทัพเพียงปีละ 70-80 ล้านบาท หากทำธุรกิจแล้วกำไรน้อยขนาดนี้จะทำทำไม ที่บอกว่านำกำไรไปจัดทำสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยนำไปทำอะไร ตรงกับความต้องการของเขาหรือไม่

“ตลกร้ายที่กองทัพฮุบที่ดินไว้เป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่ภาคเกษตรกำลังประสบปัญหาขาดแคลนที่ดิน โดยมีเกษตรกรมากกว่าครึ่งไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการเกษตรเป็นจำนวนมาก” นายวิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์

ที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐาพยายามที่จะเอาที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยตั้งชื่อใหม่สวยหรูว่า โครงการธนารักษ์เพื่อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล ซึ่งไม่ใช่โครงการใหม่อะไรเลยเพราะทำมาอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2547 ในชื่อโครงการรัฐเอื้อราษฏร์ และเปลี่ยนชื่อในปี 2562 เป็นโครงการธนารักษ์ประชารัฐ ที่รูปแบบโครงการเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการเอาโครงการของพล.อ.ประยุทธ์มาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ

งบประมาณของแต่ละเหล่าทัพ ปัจจุบันสถานการณ์ตามบริบทโลกก็เปลี่ยนแปลงไป แต่งบฯ ที่จัดสรร 5 ปีย้อนหลัง กองทัพบกได้ไป 5 แสนล้าน ส่วนกองทัพเรือและอากาศได้ไป 4 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่ากองทัพใช้วิธีจัดสรรงบตามโควต้า 2:1:1 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์แบบใหม่ แต่กองทัพกลับปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม แล้วจะรักษาดำรงความมั่นคงประเทศได้อย่างไร

“รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย นี่ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และถ้านายสุทิน กับนายเศรษฐา ยังคงฝืนทำแบบนี้ต่อไป ก็จะจะยิ่งทำให้ประชาชนที่ถูกหลอก รู้สึกไม่ไว้วางใจกองทัพ และไม่เป็นผลดีต่อการจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ” นายวิโรจน์ กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK