“พริษฐ์” ลั่น ยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ ชี้ ส.ว. ไม่โหวต “พิธา” นั่งนายกฯ สะท้อนไม่เคารพเสียงประชาชน แทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล
นายพริษฐ์ วัชรสิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก พริษฐ์-ไอติม-Parit Wacharasindhu เรื่อง ยอมรับ แต่ไม่ยอมแพ้: เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลที่ชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา โดยระบุว่า
คงไม่มีอะไรที่สะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติของการเมืองไทย ได้ดีไปกว่าการที่การอภิปรายครั้งแรกในสภาของผม ในฐานะผู้แทนราษฎร กลับต้องกลายเป็นการอภิปรายเพื่อยืนยันหลักการขั้นพื้นฐานที่สุดของระบอบประชาธิปไตย-หลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน และว่าประชาชนทุกคนมี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่าเทียมกันในการกำหนดอนาคตประเทศผ่านการเลือกตั้ง
ผมเข้าใจว่า การอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาหลายท่านเมื่อวาน อาจทำให้เราเข้าใจไปว่าแก่นสารของการพิจารณา คือการอภิปรายเกี่ยวกับความเหมาะสมของคุณพิธา ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี หรือนโยบายของพรรคก้าวไกล
ผมจึงได้ลุกขึ้นอภิปราย เพื่อพยายามชวนให้ทุกคนคิดว่า คำถามที่สำคัญสำหรับสมาชิกรัฐสภา ณ เวลานี้ ไม่ใช่คำถามว่าพวกสมาชิกรัฐสภา 750 คนคิดเห็นอย่างไรต่อคุณพิธาหรือนโยบายของพรรคก้าวไกล
แต่คือคำถามว่า สมาชิกรัฐสภา พร้อมจะเคารพเสียงของประชาชนเกือบ 40 ล้านคน ที่ได้ออกมาให้คำตอบต่อคำถามดังกล่าว ผ่านคูหาเลือกตั้งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว หรือไม่
ผลการลงมติของรัฐสภาเมื่อวาน ในการไม่ให้ความเห็นชอบคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐสภา (โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา) ยังไม่พร้อมจะเคารพเสียงของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง
ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การเคารพเสียงของประชาชน ไม่ได้หมายถึงการเคารพเสียงของประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่หมายถึงการเคารพเสียงที่สนับสนุนทุกพรรคการเมืองหรือไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด
แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ได้เแปร 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ออกมาเป็นผู้แทนราษฎร 500 คน ที่เป็นตัวแทนชุดความคิดที่แตกต่างหลากหลายในสังคม
และเหตุการณ์ตลอด 2 เดือนหลังจากนั้น ก็ได้แสดงให้เห็น ว่า แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง ได้สามารถรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกัน รวมกันเป็นจำนวน ส.ส. เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
ตามกลไกรัฐสภา และครรลองประชาธิปไตยปกติ มันคงเป็นบทสรุปที่ชัดเจนแล้วครับ ว่าใครควรได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กติกาการเมืองวันนี้ ยังไม่ได้อยู่ในสถานะที่ปกติ เนื่องจากมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ ที่ไปมอบอำนาจให้ สว ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน มาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ให้ไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
โจทย์สำคัญสำหรับการลงมติของสมาชิกรัฐสภาเมื่อวาน จึงเป็นโจทย์ว่าเราจะร่วมกันกำจัด ความผิดปกติ ที่สืบทอดมาจากอดีต เพื่อคืนความปกติให้ประเทศเดินไปสู่อนาคตได้อย่างไร
สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในซีกที่ไม่สนับสนุนคุณพิธา (หรือซีกที่จะเป็นฝ่ายค้าน หากคุณพิธาเป็นนายกฯ) ผมได้พยายามสื่อสารว่า ผมเคารพความเห็นต่างของเขา และผู้สนับสนุนของพวกเขาที่คงไม่ได้ไว้วางใจคุณพิธา หรือรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล
และผมพร้อมจะปกป้องสิทธิของเขา ในฐานะฝ่ายค้านที่จะทำหน้าที่อันสำคัญ ในการตรวจสอบการทำงานของพวกเราได้อย่างเต็มที่ ตลอด 4 ปีข้างหน้า แต่ผมอยากให้เขาตระหนักด้วยเช่นกัน ว่าระบอบการปกครองเดียวที่อนุญาตให้มีฝ่ายค้าน คือระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น แม้ผมทราบดีว่าในกติกาประชาธิปไตยที่เป็นปกติ เราอาจไม่คาดหวังให้เขาต้องลงมติเห็นชอบ ให้กับนายกฯที่ถูกเสนอชื่อโดยผู้แทนราษฎร จากอีกซีกหนึ่ง แต่ภายใต้สภาวะการเมืองไทยที่ยังไม่เป็นปกติ
การลงมติให้กับคุณพิธา จึงเป็นโอกาสของพวกเขา ที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่า เหนือความเห็นต่างทางการเมืองระหว่างเรา คือจุดมุ่งหมายที่เรามีร่วมกัน ในการคืนความปกติให้กับการเมืองไทย และปกป้องระบอบประชาธิปไตยที่เคารพผลของการเลือกตั้ง ที่ทำให้ผู้แทนราษฎรทุกคน จากทุกพรรค ได้มีสิทธิมาพูดและทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ต้น
สำหรับสมาชิกวุฒิสภา ที่หลายคนมีความเคลือบแคลงใจกับพรรคก้าวไกล ผมได้พยายามสื่อสารกับพวกเขา ว่าการดำรงความเป็นกลางทางการเมือง และการเคารพเสียงของประชาชนทุกฝ่ายนั้น ต้องไม่ใช่การงดออกเสียง หรือการไม่เข้าประชุม แต่คือการโหวตให้กับนายกฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากเสียงข้างมากของ ส.ส. ซึ่งมีชื่อว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เพราะคำว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ณ เวลานี้ ไม่ได้หมายความถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
คำว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ณ เวลานี้ หมายถึงการ คืนความปกติ ให้กับการเมืองไทย การให้โอกาสประชาธิปไตยได้ไปต่อ และการเคารพเสียงของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นหลักการขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ผมเห็นสมาชิกรัฐสภาทุกท่านกล่าวไว้ว่า ทุกท่านยึดถือและหวงแหน
แม้ยังไม่สำเร็จวันนี้ แต่พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า เราจะเดินหน้าต่อ ในการพยายามรวบรวมเสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่ชอบธรรมตามมติมหาชนให้ได้
เดินต่อไปด้วยกัน จนกว่าจะถึงวันที่เสียงของประชาชน ได้กำหนดอนาคตของประเทศไทย
เพราะประชาชนคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สมชัย’ อดีตกกต. ลั่นจะแก้ ม.272 ล้าง ส.ว. มี 3 ด่านต้องเจอ
- ‘ปิยบุตร’ จี้แก้ ม.272 ปิดสวิตช์ ส.ว. ลั่นหากเขายังไม่ยอม ก็ถอยมาเป็นผู้นำฝ่ายค้าน
- ชงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘ไอติม’ เสนอจัดประชามติ 4 ข้อ รอบเดียวจบ