General

หนุ่มไรเดอร์ช็อก! ถูกแจ้งความ 14 โรงพัก หลังรับจ้างเปิดบัญชีม้า

หนุ่มไรเดอร์ช็อก! ถูกแจ้งความ 14 โรงพัก หลังรับจ้างเปิดบัญชีม้า รับเงิน 1,000 บาท

นายนิรันดร์ อายุ 42 ปี ไรเดอร์วิ่งรับส่งอาหาร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา ระหว่างที่ตนออกไปวิ่งรับส่งอาหารตามปกติ ปรากฏว่าตนนั่งรอออเดอร์งานมาครึ่งวัน แต่ก็ยังไม่ได้สักงาน ต่อมาลูกชายโทรมาหาเพื่อขอค่าขนม ซึ่งตนเองก็ไม่มีเงินติดตัวที่จะให้ลูกเลย จึงคิดว่าจะหาเงินยังไงเพื่อนำไปจ่ายขนมให้ลูกก่อน ช่วงระหว่างที่รองานเด้งนั้น บังเอิญตนนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือไปเห็นเฟซบุ๊คกลุ่มรับซื้อขายบัญชีธนาคารต่าง ๆ ตนจึงลองทักข้อความไปหาคนที่ลงประกาศรับซื้อ เพื่อลองติดต่อสอบถามรายละเอียดดู

ไรเดอร์

นายนิรันดร์กล่าวว่า ตนได้สอบถามไปอย่างชัดเจนแล้วว่า ต้องการนำบัญชีธนาคารไปทำอะไร ซึ่งทางมิจฉาชีพที่รับซื้อก็อ้างว่า จะนำบัญชีไปขายต่อให้กับแรงต่างด้าวที่แอบเข้ามาทำงานโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ได้ย้ำคำถามไปอีกครั้งว่า ถ้าตนนำบัญชีมาขายต่อให้จะไม่มีหมายตามมาใช่หรือไม่ ซึ่งมิจฉาชีพก็อ้างว่าไม่มี โดยเขาจะให้ค่าจ้างเปิดบัญชีเป็นเงิน 1 พันบาท พร้อมกับเงินอีก 100 บาท ที่จะต้องใช้ในการเปิดบัญชีกับทางธนาคาร

ทั้งนี้ มิจฉาชีพรายนี้บอกเงื่อนไขตนมาว่า เขาต้องการให้ตนไปเปิดบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่ง โดยให้ใช้หมายเลขโทรมือถือของเขา ผูกกับบัญชี เพื่อเปิดแอพธนาคารไว้ ด้วยความไม่เอะใจและต้องการหาเงินไปซื้อขนมให้ลูกทั้ง 3 คน ตนจึงตัดสินใจนำเงิน 100 บาท ที่มิจฉาชีพรายนี้โอนเข้าบัญชีส่วนตัวมาให้ ไปเปิดบัญชีธนาคารให้ไป ซึ่งตนก็ได้รับค่าจ้างมาเป็นเงินครั้งละ 500 บาท จำนวน 2 ครั้ง

ไรเดอร์

นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นต่อมา ในวันที่ 17 กันยายน ก็มีผู้เสียหายรายหนึ่งโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาตน พร้อมกับสอบถามเรื่องเงินจำนวน 1.4 แสนบาทที่โอนเข้าบัญชีตนมา ด้วยความตกใจและไม่รู้เรื่องว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีที่ตนเปิดไว้เป็นจำนวนมาก จึงได้นัดให้ทางผู้เสียหายเดินทางมาพบกันที่โรงพัก สภ.บางใหญ่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งต่อมาผู้เสียหายซึ่งเป็นสามีภรรยา เดินทางมาจากย่านหลักสอง ได้มาพูดคุยกับตนเองแล้ว จึงทราบว่าตนเองก็ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ไปเปิดบัญชีเช่นกัน จึงให้ตนช่วยพยายามติดต่อกับทางมิจฉาชีพรายนี้ในเฟซบุ๊คให้ทีเพื่อนำข้อมูลมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปรากฏว่าตนก็ไม่สามารถติดต่อทุกช่องทางกับมิจฉาชีพรายนี้ได้เลยเนื่องจากถูกบล็อกการติดต่อ

นายนิรันดร์ กล่าวว่า ต่อมาในวันที่ 18 กันยายน ตนจึงตัดสินใจเดินทางไปที่ธนาคารออมสินที่ตนหลงเชื่อเปิดบัญชีให้กับมิจฉาชีพไว้ จึงทราบความจริงที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื้อทางธนาคารตรวจสอบแล้วพบว่า มีผู้เสียหายถึงจำนวน 14 ราย ที่ถูกมิจฉาชีพรายนี้นำบัญขีของตนไปหลอกเอาเงินผู้เสียหายมาเป็นเงิน 2,891,209 บาท ก่อนจะถูกถอนผ่านแอพธนาคารออกไปจำนวน 2,885,155 บาท เหลือติดบัญชีไว้เพียง 6 พันบาท

หลังทราบความจริงจากทางธนาคารแล้ว ตนเข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้นธนาคาร เพราะไม่คิดว่าบัญชีที่ตนเปิดให้คนร้ายไปเพียงเพื่อต้องการนำเงินไปซื้อขนมให้ลูกๆ จะถูกนำหลอกลวงผู้เสียหายเป็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ตนคงไม่มีเงินมากมายขนาดนี้มาคืนผู้เสียหายได้ทุกคน เพราะทุกวันนี้แค่สิ่งรับส่งอาหารกับผ่อนจ่ายเงินกู้รายวันก็แทบไม่เหลือเงินแล้ว

นายนิรันดร์ กล่าวว่า หลังจากทราบความจริงที่ถูกมิจฉาชีพหลอกเปิดบัญชีแล้ว ตนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืน พยายามฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ภรรยากับลูกๆมาช่วยไว้ทัน ต่อมาตนเคยคิดว่าจะหนีคดีไปให้ไกล เพราะรู้ว่าคดีนี้มีผู้เสียหายถึง 14 คน ต่างกรรมต่างวาระ และต่างจังหวัดกันไป แต่หากตนหนีคงต้องหนีไปทั้งชีวิตไม่ได้เจอหน้าลูกเมีย แต่ถ้าสู้ความจริงยอมรับว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาจากเราที่หลงเชื่อมิจฉาชีพเอง อย่างน้อยช่วงที่ติดคุกลูกเมียก็ยังมาเยี่ยมมาเจอกันได้ ทำให้ตนตัดสินใจว่า จะยอมก้มหน้ารับความจริงที่เกิดทั้งหมด ไม่หลบหนีไปไหน เพราะตนไม่มีเจตนาจะไปโกงใคร เพราะถ้าโกงจริงป่านนี้ตนกับครอบครัวคงจะสบายไปแล้ว ได้แต่เตรียมทำใจรอรับหมายเรียกต่าง ๆ จากเจ้าทุกข์ผู้เสียหาย

จนกระทั่งต่อมา มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เหล่าเสือโก้ก จ.อุบลราชธานี แจ้งให้ตนเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 15 พฤศจิกายน นี้ ด้วยความที่ตนไม่ค่อยจะมีเงินเป็นค่าเดินทาง จึงตัดสินใจว่าจะขี่ รถ จยย.ที่ตนใช้วิ่งงานอยู่ เป็นพาหนะเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายเรียกที่อุบลราชธานี ที่มีเจ้าทุกข์แจ้งความไว้เป็นจำนวนเงิน 7.7 หมื่นบาท จึงได้นำเรื่องราวไปสอบถามเพื่อนๆในกลุ่มไรเดอร์เพื่อขอคำชี้แนะเส้นทางในการเดินทาง

นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพรับซื้อรับขายบัญชีธนาคารเป็นจำนวนมาก หากคนไม่มีประสบการณ์เผลอหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของมิจฉาชีพจะเกิดความเสียหายตามมาภายหลังมากกว่าที่คิด ให้ดูกรณีของตนเป็นตัวอย่าง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ตนก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิทัล และตำรวจไซเบอร์เร่งปิดกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ในเฟซบุ๊ค และอยากให้ช่วยสืบหาต้นต่อของมิจฉาชีพที่หลอกให้ตนเปิดบัญชีให้ไปด้วยว่า เงินจำนวนเหล่านี้ถูกโอนต่อไปยังปลายทางที่ไหนด้วย เพื่อติดตามนำกลับมาคืนให้ผู้เสียหายทั้งหมด อย่าให้พวกมันสบายบนความลำบากของคนอื่น เหมือนครอบครัวตนที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ซึ่งถ้าหากตนย้อนเวลาได้ตนคงไม่ตัดสินใจแบบนั้นแน่นอน คงจะคิดได้รอบคอบมากกว่านี้

ขอบคุณขอมูล สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo