“ดร.อนันต์” เผยผลวิจัยจากฝรั่งเศส พบเชื้อไวรัสฝีดาษลิง ทนความร้อนได้ดีกว่าไวรัสอื่น พบอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ใช้เวลานานถึง 3 นาทีถึงจะทำลายได้
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ถึงการทนต่อความร้อนของเชื้อไวรัสฝีดาษลิง โดยระบุว่า
ไวรัสฝีดาษลิง ทนความร้อนได้นานแค่ไหน?
ฝีดาษลิงเป็นไวรัสในกลุ่ม poxvirus ที่เชื่อว่าทนต่อสภาวะแวดล้อมได้ดีกว่าไวรัสกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะไวรัสที่มีสารพันธุกรรมเป็น RNA อย่างไวรัสโรคโควิด-19
ข้อมูลในปัจจุบัน มาจากการทดสอบในอดีตที่ใช้ไวรัส poxvirus ตัวอื่น แต่ไม่ใช่ไวรัสฝีดาษลิงโดยตรง ทำให้ข้อมูลอาจจะมีคำถามว่า ตกลงไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ปัจจุบัน มีอะไรเปลี่ยนไปจากอดีตหรือไม่อย่างไร
ทีมวิจัยในฝรั่งเศส ได้ทำการทดสอบไวรัสฝีดาษลิง ที่แยกได้จากตัวอย่างของผู้ป่วยซึ่งเป็น Clade B นำมาเปรียบเทียบกับไวรัสฝีดาษลิง Clade A ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่า แต่ยังไม่มีการระบาดนอกทวีปแอฟริกา
ทีมวิจัยตั้งคำถามว่า ไวรัสฝีดาษลิง 2 สายพันธุ์นี้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงที่ต่างกัน ในเวลาที่ต่างกัน ไวรัสจะสามารถคงสภาพการติดเชื้อต่อไปได้หรือไม่ และ เนื่องจากสารพันธุกรรมของไวรัสเป็น DNA ซึ่งมีความคงทนต่ออุณหภูมิมากกว่า RNA สภาวะดังกล่าวจะมีผลต่อการคงสภาพของ DNA หรือไม่อย่างไร
ทีมวิจัยพบว่า ไวรัสทั้ง 2 clades จะเสียสภาพการติดเชื้อต่อเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที
การศึกษานี้แสดงว่า ที่อุณหภูมิ 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที ยังไม่สามารถทำลายไวรัสได้ทั้งหมด ซึ่งแสดงว่าทั้งความร้อนที่ต้องถึง 60 องศาเซลเซียส และ เวลาที่สัมผัสเชื้อที่อย่างน้อย 15 นาที จึงมีความจำเป็น
สำหรับอุณหภูมิที่สูงขึ้นเช่น 70 องศาเซลเซียส ระยะเวลาสัมผัสเชื้อสามาถลดลงได้เหลือ 5 นาที
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ อุณภูมิของน้ำเดือด คือ ประมาณ 95 องศาเซลเซียส จำเป็นต้องใช้เวลานานถึง 3 นาที ในการทำลายไวรัส การจุ่มน้ำเดือดระยะเวลาสั้นๆแค่ 30 วินาที ไม่สามารถทำอะไรไวรัสได้เลย
ข้อมูลนี้มีประโยชน์มากในกรณีที่สงสัยว่าผ้า หรือ อุปกรณ์ใด ๆ เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมา การทำลายด้วยการต้ม หรือ อบ ในระยะเวลาที่เหมาะสมน่าจะทำได้ง่าย และเสี่ยงน้อยกว่าสารเคมี
ทีมวิจัยยังแสดงผลว่า ถึงแม้ว่าอุณหภูมิสูง ๆ จะทำลายความสามารถของไวรัสในการไปต่อ แพร่เชื้อไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเรานำตัวอย่างไปตรวจ PCR จะพบว่า ผลจะเป็นบวกที่ชัดมาก
นั่นเป็นเพราะว่าความร้อนที่ทดสอบไปนั้น ไม่สามารถทำลาย DNA ของไวรัสได้ เป็นตัวอย่างของการเก็บซากเชื้อไปตรวจอย่างชัดเจน
ดังนั้นการทดสอบไวรัสในห้องปฏิบัติการ จะไม่สามารถใช้การวัดแค่ PCR อย่างเดียวได้ จำเป็นต้องมีข้อมูลการเพาะเชื้อสนับสนุนด้วยครับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘หมอยง’ วิเคราะห์ตั้งชื่อ ‘ฝีดาษวานร’ คาดขึ้นต้นด้วยตัว ‘P’ ตามไวรัสกลุ่ม POX
- ‘หมออนันต์’ เตือน อย่าเพิ่งโทษสุนัขแพร่ฝีดาษลิง หลังพบเคสแรก สุนัขติดเชื้อจากเจ้าของ
- คนที่เคยปลูกผี อาจไม่รอด ‘ฝีดาษลิง’ ดร.อนันต์ เผยข้อมูลใหม่ ไวรัสปัจจุบัน แตกต่างจากอดีต